วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เพื่อน

อันเพื่อนดีมีหนึ่งถึงจะน้อย   ดีกว่าร้อยเพื่อนคิดริษยา
เหมือนกับเกลือเม็ดน้อยด้อยราคา   ยังมีค่ากว่าน้ำเค็มเต็มทะเล
(พระพรหมคุณากรณ์)

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ทำวันนี้ให้ดีที่สุด

Make a good use of the present.

รวย VS. มั่งคั่ง

Being rich is having money, being wealthy is having time.

วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

การวัดผลกระทบที่แท้จริงของงานวิจัย

ไม่ควรวัดด้วย Impact factor หรือ Citation count แต่ควรวัดด้วยประโยชน์ที่เกิดขึ้นจริง เช่น ทำให้เกิดรายได้เป็นตัวเงินแก่ผู้วิจัยหรือแก่ผู้นำไปใช้รวมเท่าใดในทางตรง (ไม่วัดผลประโยชน์ทางอ้อมเพราะวัดได้ไม่แม่นยำและยากมาก)

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

De Facto

สถานภาพสมรส หรือ Marital Status
  • Single ซึ่งหมายถึง โสด หรือ 
  • Married หมายถึง แต่งงานแล้ว 
  • De facto (dee fak-toh) คือ โดยพฤตินัย, ตามความจริง, โดยแท้จริง หรือสำหรับชาวออสเตรเลียก็คือการอยู่ด้วยกันโดยพฤตินัยนั่นเอง (ยังไม่ได้จดทะเบียน) 

วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555

iBooks VS. Zhake

When you have your completed your interactive e-book with iBooks Author (.ibooks file), you can choose to:
  • Distribute it from your own web site for free, or
  • Publish it via iBooks. You will need to set up a free account at iTunes Connect and then decide whether you will be giving away your ebooks for free or selling them. You cannot change your mind later and upgrade the basic account to a “selling” account. You will also need to associate your iTunes Connect account with an existing iTunes account.
If you decide to sell your ebooks created with iBooks Author in the iBookstore you will be eligible for 70% author royalties on your ebook sales. To set up an account for selling ebooks you will need a US Tax ID and you will need to provide an ISBN number for each book. เข้าใจว่าตอนนี้ไทยยังขายหนังสือผ่านทาง iBookstore ไม่ได้และ iBooks (reader) ยังไม่รองรับภาษาไทย 100% (คือ false formating) กรณีใช้ utility gเช่น http://calibre-ebook.com/download โหลด ebook เข้า iBook เองผ่านทาง iTunes

ถ้าต้องการเผยแพร่หนังสือผ่าน Zhake Bookstore (ของคนไทย) ให้เมลรายละเอียดหนังสือไปที่ info@zhake.com

Armchair researcher

คือนักวิจัยที่ไม่ได้ออกเป็นเก็บข้อมูลภาคสนาม ทำให้การตีความข้อมูลที่มีอยู่ในมืออาจคลาดเคลื่อนจากการตีความที่ถูกต้องโดยชุมชนที่เป็นแหล่งกำเนิดข้อมูลนั้นๆ

Extended abstract VS Short paper

Extended abstract คือการเขียนบทคัดย่อความยาว 1-2 หน้าโดยไม่มีการแบ่ง sections ย่อย แต่ Short paper มีการแบ่งเป็นหลาย sections ได้

วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555

คนที่เคยล้มเหลวก่อนยิ่งใหญ่


ความสำเร็จ ไม่เคยได้มาโดยง่าย พรสวรรค์ บางครั้งมันก็ไม่ได้โชว์ให้เห็นตั้งแต่เกิด ถ้าคุณหยุดมันตอนนี้ คุณก็จะเป็นแค่นี้ แต่ถ้าคุณไม่ยอมแพ้ วันหนึ่งข้างหน้า คุณอาจเป็นอย่าง 4 คนนี้ ไม่ว่าจะสาขาวิชาชีพใด

 ชายคนหนึ่งเรียนปริญญาตรี
 ชายคนนั้น...เคยถูกจัดให้เป็นแค่นักศึกษาระดับกลางเท่านั้น
 ชายคนนั้น...เคยสอบ ได้อันดับที่ 15 จากนักศึกษา 22 คนในวิชาเคมี
 ชายคนนั้น...ชื่อ "หลุยส์ ปาสเตอร์"

 ชายคนหนึ่ง...เป็นนักร้อง
 ชายคนนั้น...เคยถูกผู้จัดการของ แกรนด์โอเลโอเพรย์ไล่ออก
 ชายคนนั้น...เคยโดนดูถูกว่า "แกมันไปไม่ถึงไหนเลย แกควรกลับไปขับรถบรรทุกมากกว่า"
 ชายคนนั้น...ชื่อ "เอลวิส เพรสลีย์"

 ชายคนหนึ่ง...เป็น นักแต่งเพลงชาวเยอรมัน
 ชายคนนั้น...สูญเสียความสามารถในการฟังลงเรื่อยๆ
 ชาย คนนั้น...หูหนวกสนิทเมื่อมีอายุได้ 46 ปี
 ชายคนนั้น...ได้ใช้ช่วงเวลา บั้นปลายชีวิตประพันธ์เพล งที่ยอดเยี่ยมที่สุด
 ชายคนนั้น...ชื่อ "ลุดวิก ฟาน บีโธเฟน" นักประพันธ์เพลงชื่อก้องโลก

 ชายคนหนึ่ง...หลงใหลวิชาการเงินอย่างมาก
 ชายคนนั้น...ยื่นใบสมัครกับ มหาวิทยาลัยธุรกิจฮาวาร์ด อันเลื่องชื่อ
 ชายคนนั้น...ถูกปฎิเสธในเวลาต่อ มา
 ชายคนนั้น...ไม่ยอมแพ้ เดินหน้าเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยธุรกิจโคลัมเบีย
 ชายคนนั้น...สำเร็จการ ศึกษา
 ชายคนนั้น...ปัจจุบันมีสินทรัพย์รวมกว่า 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จากเงินลงทุนเพียง 100 เหรียญสหรัฐ
 ชายคนนั้น...ชื่อ "วอเรน บัฟเฟตต์" นักลงทุนอัจฉริยะ อภิมหาเศรษฐีอันดับสองของโลก

Tax Rates


วันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2555

วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ทำไมควรสอบ professional cert.

ไม่ได้แปลว่าใบปริญญาไร้ความหมาย แต่เป็นการเติมเต็มเรื่องที่ยังไม่เคยเรียน หรือเป็นการเน้นหัวข้อที่จำเป็นต่อภาคอุตสาหกรรมอย่างยิ่งยวดซึ่งอาจทำได้ไม่ดีตอนเรียนในมหาวิทยาลัยแต่ก็เรียนผ่านมาได้ แลเป็นการลดช่องโหว่ของมาตรฐานการสอนในระดับรายละเอียด การออกและการตรวจข้อสอบของแต่ละสถาบันการศึกษา

วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

Honorary professor

ไม่ใช่ full professor ที่มีผลงานวิชาการผ่านการรับรองตามกระบวนการของ สกอ.
จุฬาใช้คำว่า ศาสตราพิจารณ์ บางแห่งใช้คำว่า ศาสตราจารย์กิติคุณ (ศาสตราจารย์เกียรติคุณ), ศาสตราจารย์คลีนิก

วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2555

วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2555

ตายเพราะปาก

กบเขียดที่ส่งแเสียงร้องให้คนมาจับมันได้เป็นวิบากกรรมจากการโกหกบ่อย ตายเพราะปาก

วันศุกร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2555

เอตทัคคะ

เป็นตำแหน่งทางพุทธศาสนาที่พระบรมศาสดาได้ประทานแต่งตั้งให้พุทธบริษัท คือ
ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้มีความรู้ความสามารถเด่นกว่าท่านอื่นๆในด้านนั้นๆ และแต่ละตำแหน่ง พระพุทธองค์ประทานแต่งตั้งเพียง รูปเดียว ท่านเดียวเท่านั้น
  • เอตทัคคะในพระพุทธศาสนา :: หมวด ภิกษุ    ( ทั้งหมด ๔๑ ท่าน)
  • เอตทัคคะในพระพุทธศาสนา :: หมวด ภิกษณี    ( ทั้งหมด ๑๓ ท่าน)
  • เอตทัคคะในพระพุทธศาสนา :: หมวด อุบาสก   ( ทั้งหมด ๑๐ ท่าน)
  • เอตทัคคะในพระพุทธศาสนา :: หมวด อุบาสิกา  ( ทั้งหมด ๑๐ ท่าน)
เหตุผลที่พระพุทธองค์ทรงยกย่องพุทธบริษัททั้ง 4 ไว้ในตำแหน่ง คือ
  1. ได้รับการยกย่องตามเรื่องที่เกิดขึ้น ( อัตถุปปัตติโต ) ได้แสดงความ สามารถให้ปรากฏโดยสอดคล้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
  2. ได้รับการยกย่องตามที่ได้สะสมบุญมาในอดีตชาติ ( อาคมันโต ) ได้สร้างบุญสะสมในด้านนั้นมาตั้งแต่อดีตชาติ พร้อมทั้งตั้งจิตปราถนา เพื่อบรรลุตำแหน่งนั้นด้วย
  3. ได้รับการยกย่อง ตามความเชี่ยวชาญ ( จิณณวสิโต ) มีความเชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องเป็นพิเศษ
  4. ได้รับการยกย่องตามความสามารถเหนือผู้อื่น ( คุณาติเรกโต ) มีความสามารถในเรื่องที่ทำให้ได้รับตำแหน่งเอตทัคคะเหนือกว่าผู้อื่นที่มีความสามารถอย่างเดียวกัน
http://www.84000.org/one.html

ธรรมกถึก

แปลว่า ผู้กล่าวสอนธรรม คือ ผู้แสดงธรรมหรือนักเทศน์ ในความหมายสูงสุดคือผู้แสดงธรรมเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับชราและมรณะ เพื่อความดับเบญจขันธ์ ธรรมกถึก ใช้เรียกพระภิกษุผู้เทศนาธรรมสอนชาวบ้าน เรียกเต็มว่า พระธรรมกถึก พระธรรมกถึก มีองคคุณ ๕ ประการคือ
๑. แสดงธรรมไปตามลำดับ ไม่ตัดลัดใจความ
๒. อ้างเหตุผลแนะนำให้ผู้ฟังเข้าใจ
๓. ตั้งเมตตาจิตปรารถนาให้เป็นประโยชน์ แก่ผู้ฟัง
๔. ไม่แสดงธรรมเพราะเห็นแก่ลาภ
๕. ไม่แสดงธรรมกระทบตนและผู้อื่นคือไม่ยกตนเสียดสีผู้อื่น

วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2555

กลอนสุนทรภู่ บางตอนจาก "นิราศภูเขาทอง"

ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์
มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต
แม้นพูดชั่วตัวตายทำลายมิตร 
จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจาฯ

การใช้ "อาทิ"

ใช้ยกตัวอย่างหนึ่งตัวอย่างที่จัดอยู่ในอันดับแรก เช่น เมืองไทยมีนักร้องที่มีชื่อเสียงมากมายอาทิ เบิร์ด ธงไชย

วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555

The Simple is the best.

"Simple thing always works well, things that work well always simple."
"Less is more, Small is beautiful."

วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เบญจศีล สิกขาบทที่ ๓ กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี เว้นจากการประพฤติผิดในกามทั้งหลาย

ศีลข้อนี้ ท่านบัญญัติขึ้น ด้วยหวังปลูกความสามัคคี สร้างความเป็นปึกแผ่น ป้องกันความแตกร้าวในหมู่มนุษย์ และทำให้วางใจกันและกัน ชายกับหญิงแม้ไม่ได้เป็นญาติกัน ก็ยังมีความรักใคร่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ ด้วยอำนาจความปฏิพัทธ์ในทางกาม สิกขาบทข้อนี้ แปลว่า เว้นจากการประพฤติผิดในกามทั้งหลาย คำว่า "กามทั้งหลาย" ในที่นี้ได้แก่ กิริยาที่รักใคร่กันทางประเวณี หมายถึง เมถุน คือ การส้องเสพระหว่างชายหญิง
การผิดในกาม หมายถึง การเสพเมถุนกับคนที่ต้องห้ามดังจะกล่าวต่อไป ผู้ใดเสพเมถุนกับคนที่ต้องห้าม ผู้นั้นทำผิดประเวณี ศีลข้อนี้ขาด เมื่อเพ่งความประพฤติไม่ให้ผิดเป็นใหญ่สำหรับชายและหญิง มีดังนี้...

สำหรับชาย
หญิงที่ต้องห้ามสำหรับชาย มี ๓ ประเภท คือ
๑.  สัสสามิกา หญิงมีสามี ที่เรียกว่า ภรรยาท่าน ได้แก่ หญิง ๔ จำพวก คือ
ก. หญิงที่แต่งงานกับชายแล้ว
ข. หญิงที่ไม่ได้แต่งงาน แต่อยู่กินกับชายอื่นอย่างเปิดเผย
ค. หญิงที่รับสิ่งของ มีทรัพย์ เป็นต้น ของชายแล้วยอมอยู่กับเขา
ง. หญิงที่ชายเลี้ยงเป็นภรรยา
๒.  ญาติรักขิตา หญิงที่ญาติรักษา คือ มีผู้ปกครอง ไม่เป็นอิสระแก่ตน เรียกว่า หญิงอยู่ในพิทักษ์รักษาของท่าน คือ หญิงที่มารดาบิดารักษา หรือญาติรักษา
๓.  ธรรมรักขิตา หรือ จาริตา หญิงที่จารีตรักษา ที่เรียกว่า จารีตห้าม ได้แก่ หญิงที่เป็นเทือกเถาเหล่ากอ
ก. เทือกเถา คือ ญาติผู้ใหญ่ นับย้อนขึ้นไป ๓ ชั้น มี ย่าทวด ยายทวด ๑ ย่า ยาย ๑ แม่ ๑ เหล่ากอ คือ ผู้สืบสายจากตนลงไป ๓ ชั้น มีลูก ๑ หลาน ๑ เหลน ๑
ข. หญิงที่อยู่ใต้พระบัญญัติในพระศาสนา อันห้ามสังวาสกับชาย เช่น ภิกษุณี ในกาลก่อน หรือ แม่ชีในบัดนี้
ค. หญิงที่บ้านเมืองห้าม เช่น แม่หม้ายงานท่าน อันมีในกฎหมาย
หญิง ๓ จำพวกนี้ จะมีฉันทะร่วมกัน หรือไม่ร่วมกัน ไม่เป็นประมาณ ชายร่วมสังวาสด้วย ก็เป็นกามาสุมิจฉาจาร

หญิงที่เป็นวัตถุต้องห้ามของชาย ในกาเมสุมิจฉาจาร โดยพิสดารมี ๒๐ จำพวก คือ
๑. มาตุรักขิตา หญิงที่มารดารักษา
๒. ปิตุรักขิตา หญิงที่บิดารักษา
๓. มาตาปิตุรักขิตา หญิงที่มารดาบิดารักษา
๔. หญิงที่พี่ชายน้องชายรักษา
๕. หญิงที่พี่สาวน้องสาวรักษา
๖. หญิงที่ญาติรักษา
๗. หญิงที่โคตร หรือมีแซ่รักษา
๘. หญิงมีธรรมรักษา
๙. หญิงมีสามีรักษา
๑๐. หญิงมีสินไหม คือ พระราชารักษา
๑๑. หญิงที่ชายไถ่หรือซื้อมาด้วยทรัพย์เพื่อเป็นภรรยา
๑๒. หญิงที่อยู่กับชายด้วยความรักใคร่ชอบใจกันเอง
๑๓. หญิงที่อยู่เป็นภรรยาชายด้วยโภคทรัพย์
๑๔. หญิงที่เข็ญใจ ได้สักว่าผ้านุ่งผ้าห่มแล้วอยู่เป็นภรรยา
๑๕. หญิงที่ชายขอเป็นภรรยา มีผู้ใหญ่จัดการให้
๑๖. หญิงที่ชายช่วยปลงภาระอันหนักให้แล้ว ยอมเป็นภรรยา
๑๗. หญิงที่เป็นทาสีอยู่ก่อน แล้วชายเอามาเป็นภรรยา
๑๘. หญิงที่รับจ้างแล้ว ชายเอาเป็นภรรยา
๑๙. หญิงที่ชายรบข้าศึกได้เป็นเชลยแล้ว เอาเป็นภรรยา
๒๐. หญิงที่ชายอยู่ด้วยขณะหนึ่ง และหญิงนั้นก็เข้าใจว่าชายนั้นเป็นสามีของตน

สำหรับหญิง
ชายต้องห้ามสำหรับหญิง มี ๒ ประเภทคือ
๑. ชายอื่นนอกจากสามี เป็นวัตถุต้องห้ามสำหรับหญิงที่มีสามีแล้ว
๒. ชายที่จารีตห้าม เป็นวัตถุต้องห้ามสำหรับหญิงทั้งปวง
ชายที่*จารีต*ห้ามนั้น มี ๓ จำพวก คือ
๑. ชายที่อยู่ในพิทักษ์รักษาของตระกูล เช่น ปู่ พ่อ ตา ทวด
๒. ชายที่อยู่ในพิทักษ์ของธรรมเนียม เช่น นักพรต นักบวช
๓. ชายที่กฎหมายบ้านเมืองห้าม เช่น พระภิกษุ สามเณร

หญิงที่ไม่เป็นวัตถุกาเมสุมิจฉาจารของชาย มี ๔ อย่าง คือ
๑. หญิงที่ไม่มีสามี
๒. หญิงที่ไม่อยู่ในพิทักษ์รักษาของท่าน หรือผู้พิทักษ์รักษาอนุญาตแล้ว
๓. หญิงที่จารีตไม่ห้าม
๔. หญิงที่เป็นภรรยาของตน
ชายที่ไม่เป็นวัตถุแห่งกาเมสุมิจฉาจารของหญิงมี ๔ คือ
๑. ชายที่ไม่มีภรรยา หรือภรรยาอนุญาตให้มีภรรยารองได้ (ถ้าเข้าข่ายอย่างหลังนี้ศีลไม่ขาดแต่ศีลด่างพร้อย เปรียบเหมือนทรมานสัตว์แต่ไม่ได้ฆ่า ศีลจึงไม่ขาดแต่เป็นบาปแน่นอน การนอกใจภรรยาตัวเองไปมีภรรยาคนที่สองก็จะได้รับผลกรรมเป็นทุกขเวทนาแบบเดียวกันเพราะทำให้ภรรยาหลักเป็นทุกข์น้อยบ้างหรือมากบ้างถ้าถึงขั้นทอดทิ้งกัน)
๒. ชายที่จารีตไม่ห้าม
๓. สามีของตน
๔. ชายที่ทำโดยพลการพ้นอำนาจของหญิง (เช่นชายที่ข่มขืน)

กาเมสุมิจฉาจารนี้ เป็นความประพฤติชั่วร้าย มีโทษทั้งทางโลก และทางธรรม ฝ่ายอาณาจักรมีกฎหมายลงโทษผู้ประพฤติล่วง ฝ่ายพุทธจักรก็จัดเป็นบาปแก่ผู้ทำ เมื่อกล่าวโดยความเป็นกรรม จัดว่ามีโทษหนักเป็นชั้นกัน โดย วัตถุ เจตนา ประโยค
ก. โดยวัตถุ ถ้าเป็นการทำชู้ หรือล่วงละเมิดในวัตถุที่มีคุณ มีโทษมาก
ข. โดยเจตนา ถ้าเป็นไปด้วยกำลังราคะกล้า มีโทษมาก
ค. โดยประโยค ถ้าเป็นไปโดยพลการ มีโทษมาก

หลักวินิจฉัยกาเมสุมิจฉาจาร   กาเมสุมิจฉาจาร มีองค์ ๔ ได้แก่
๑. อะคะมะนียะวัตถุ  สตรีหรือบุรุษที่ไม่ควรล่วงละเมิด
๒. ตัสฺมิง เสวะนะจิตตัง  มีความตั้งใจจะเสพในสตรีหรือบุรุษนั้น
๓. เสวะนัปปะโยโค  กระทำความพยายามในการเสพ
๔. มัคเคนะ มัคคปฏิปัตติอธิวาสนัง  ยินดีในการปฏิบัติมรรคให้ถึงกันด้วยมรรค

         ครบองค์ทั้ง ๔ นี้แล้ว นับว่าสำเร็จกาเมสุมิจฉาจารอกุศลกรรมบท แต่พึงทราบว่าข้อที่ ๓ คือ การกระทำความพยายามนั้น บางครั้งไม่มีก็ได้ ที่พระอรรถกถาจารย์แสดงไว้นั้นมุ่งหมายเอาว่า ย่อมมีเป็นส่วนมาก
         อนึ่ง มรรคในข้อ ๔ ได้แก่ อวัยวะเพศ ทวารหนัก ทวารเบา และปาก

ในข้อที่ ๑ นั้น อคมนียวัตถุ ได้แก่ สตรี ๒๐ จำพวก ได้แก่
๑. มาตุรักขิตา  สตรีที่มารดาดูแลรักษา
๒. ปิตุรักขิตา  สตรีที่บิดาดูแลรักษา
๓. มาตาปิตุรักขิตา  สตรีที่ทั้งมารดาและบิดาดูแลรักษา
๔. ภาตุรักขิตา สตรีที่พี่ชายน้องชายดูแลรักษา
๕. ภคินีรักขิตา  สตรีที่พี่สาวน้องสาวดูแลรักษา
๖. ญาติรักขิตา  สตรีที่ญาติดูแลรักษา
๗. โคตตรักขิตา  สตรีที่ผู้ร่วมโคตรร่วมสกุลดูแลรักษา
๘. ธัมมรักขิตา  สตรีที่ผู้ร่วมปฏิบัติธรรมดูแลรักษา
๙. สารักขา  สตรีที่มีคู่หมั้น
๑๐. สปริทัณฑา  สตรีที่มีผู้กำหนดอาญาสินไหมไว้ (สตรีที่ผู้มีอำนาจจองตัวไว้)
๑๑. ธนักกีตา  สตรีที่ชายซื้อมาเป็นภรรยาด้วยทรัพย์
๑๒. ฉันทวาสินี  สตรีที่อยู่ร่วมเป็นภรรยากับชายอื่นด้วยสมัครใจ
๑๓. โภควาสินี  สตรีที่เป็นภรรยาด้วยได้โภคทรัพย์
๑๔. ปฏวาสินี  สตรีที่เป็นภรรยาด้วยได้เครื่องนุ่งห่ม
๑๕. โอทปัตตกินี  สตรีที่เป็นภรรยาด้วยการแต่งงานรดนำ
๑๖. โอภตจุมภฏา  สตรีที่เป็นภรรยาด้วยฝ่ายชายช่วยยกของหนักลงจากแบกหาม
๑๗. ทาสี จ ภริยา จ  สตรีที่เป็นทาสด้วยเป็นภรรยาด้วย
๑๘. กัมมการี จ ภิริยา จ  สตรีที่รับทำการงานด้วยและเป็นภรรยาด้วย
๑๙. ธชาหฏา  สตรีที่เป็นภรรยาโดยถูกจับมาเป็นเชลย
๒๐. มุหุตติกา  สตรีที่เป็นภรรยาชั่วคราว (เช่น หญิงโสเภณีรับจ้างเป็นภรรยาเป็นครั้งคราวไป)

อาการที่เรียกว่ารักษานั้น มี ๔ อย่างคือ
๑.คอยระวัง คือ สามารถทำให้หญิงไม่สามารถอยู่กับชายตามลำพังได้
๒.ควบคุม คือ สามารถสั่งให้อยู่ในที่จำกัดได้ เช่น ห้ามว่า วันนี้อย่าไปไหนนะ หรืออย่าไปเที่ยวกับชายคนนั้นคนนี้นะ เป็นต้น
๓.ห้ามปราม คือ สามารถห้ามการกระทำบางอย่างได้ เช่น ห้ามไปหาคนนั้นคนนี้ที่เป็นชายได้ หรือห้ามคบหาสมาคมกับชายนั้นชายนี้เป็นต้น
๔.ให้อยู่ในอำนาจ หมายถึง สามารถความคุมได้ทั้งทางพฤตินัยและในแง่
กฎหมาย(ผู้ปกครอง,ผู้ใช้อำนาจปรกครอง,ผู้พิทักษ์)

         ในบรรดาหญิง ๘ จำพวกมีมาตุรักขิตา(ข้อ ๑) เป็นต้น จนถึงธัมมรักขิตา(ข้อ ๘) เหล่านี้ยังไม่ได้มีสามีที่เป็นเจ้าของในร่างกายของตน ตนเองมีสิทธิ์ในร่างกายของตน เมื่อพอใจชายใดแล้วมอบกายให้แก่ชายนั้น ย่อมไม่เป็นกาเมสุมิจฉาจาร เพราะว่าบิดามารดาเป็นต้น ที่ปกครองดูแลรักษาอยู่ ไม่ได้เป็นเจ้าของผัสสะ(ร่างกาย)ของหญิงนั้น เป็นเพียงผู้ปกครองดูแลรักษาเท่านั้น
         ส่วนหญิงที่เหลืออีก ๑๒ จำพวก มีสารักขา(ข้อ ๙) เป็นต้น จนถึงมุหุตติกา(ข้อ ๒๐) เหล่านี้เป็นหญิงจำพวกที่มีสามีแล้ว หากหญิงเหล่านี้ยอมตัวให้ชายอื่นล่างเกินแล้ว ย่อมเป็นการเมสุมิจฉาจาร
         สำหรับชายนั้นการร่วมประเวณีกับหญิงทั้ง ๒๐ จำพวกซึ่งไม่ใช่ภรรยาของตนนั้น ย่อมเป็นการเมสุมิจฉาจาร

         อนึ่ง กาเมสุมิจฉาจารอกุศลกรรมบทนี้ ย่อมมีองค์ ๔ เสมอไป ไม่ขึ้นกับอายุ เชื้อชาติ หรือผิวพรรณ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เทวดา หรือแม้สัตว์ดิรัจฉาน ไม่ว่าจะได้สมาทานศีล(มีศีล ๕ เป็นต้น)ไว้ หรือไม่เคยสมาทานศีลเลยก็ตาม ไม่ว่าจะนับถือศาสนาอะไรก็ตาม เชื่อกรรมหรือไม่เชื่อก็ตาม  หากครบองค์ทั้ง ๔ นี้แล้ว ย่อมเป็น การเมสุมิจฉาจารอกุศลกรรมบท ซึ่งสามารถให้ผลวิบากที่ไม่ดีได้ทั้งในปฏิสนธิกาลและปวัตติกาล

ในเรื่องกาเมสุมิจฉาจารนี้ ผู้ที่เสพเท่านั้นจึงจะชื่อว่า ล่วงกาเมสุมิจฉาจาร ส่วนการใช้คนอื่นให้ทำแก่คนอื่นนั้น ไม่เป็นการผิดกาเมสุมิจฉาจาร แต่การใช้ให้คนอื่นทำกาเมสุมิจฉาจารแก่ตนนั้น ชื่อว่า เป็นการล่วงกาเมสุมิจฉาจารแท้


====

โทษของกาเมสุมิจฉาจาร
โดยส่วนใหญ่การกระทำผิดในข้อนี้ คนส่วนมากมักจะนึกถึงการประพฤติผิดในกาม
หรือการล่วงประเวณี อันเป็นการกระทำลามก ซึ่งบัณฑิตทั้งหลายพึงติเตียน นั้นคือ
การทำผิดลูกเมียเขา ซึ่งเป็นความประพฤติที่สังคมทั่วไปไม่ยอมรับ ผู้ที่กระทำจึง
ต้องมีพฤติกรรมที่ปิดบังและซ่อนเร้น การกระทำอกุศลเช่นนี้ ผลที่จะได้รับใน
ปวัตติกาล (ภายหลังการเกิด) คือ

1. มีผู้เกลียดชังมาก
เพราะการกระทำที่ผิดลูกเมียเขา ย่อมสร้างความโกรธแค้นให้กับบุคคลที่เกี่ยวข้อง
กับผู้เสียหาย ผลที่ได้รับคือ มีศัตรูและมีคนเกลียดชังมาก ในข้อนี้ทุกคนก็ต้องเคย
ประสบมา แต่อาจเป็นเพียงเศษกรรม เช่น เวลาที่มีเรื่องขัดใจกับใคร และมีการ
โต้เถียง ทำให้มองหน้ากันไม่ได้ หรือบางคนอาจมีตำแหน่งหน้าที่การงานสูง มียศถา
บรรดาศักดิ์ แต่ไม่เป็นที่สบอารมณ์ของลูกน้อง เป็นต้น.

2.มีผู้คิดปองร้าย
เพราะได้เคยสร้างศัตรูสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้กับผู้อื่น ตัวอย่าง เช่น นักเรียน
บางคนเรียบร้อย ไม่เคยมีเรื่องราวอะไรกับใคร แต่ถูกนักเรียนโรงเรียนอื่นรุม
ทำร้ายจนบาดเจ็บ อันนี้ผลที่เขาถูกทำร้าย ก็เพราะอดีตชาติเคยทำปาบข้อ
กาเมสุมิจฉาจาร และที่ต้องบาดเจ็บก็เพราะได้เคยทำปาณาติบาต มานั่นเอง
แม้กระทั้งสามีภรรยามีเรื่องระหองแหง การใช้สายตาและคำพูดทำร้ายจิตใจกัน
ก็ถือว่าเป็นผลของการกระทำอกุศลในข้อนี้เช่นเดียวกัน.

3.ขัดสนทรัพย์
ไม่ว่าจะทำอะไรก็มีแต่ความฝืดเคือง เงินเดือนชักหน้าไม่ถึงหลัง ดังที่เราได้เห็น
บางคนต้องเข้าโรงรับจำนำประจำ เพราะอดีตได้สร้างความ ไม่รู้จักพอ นั่นเอง.

4.อดอยาก ยากจน
เพราะการประพฤติผิดในกามหรือการล่วงประเวณีนั้น เป็นการกระทำที่ตนเอง
เป็นผู้ไม่รู้จักพอ ไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ (สามี ภรรยา ของตนเอง) แล้วยัง
ไปเบียดเบียนผู้อื่น จึงเป็นการสร้างทางให้ตนเองต้องอดอยาก ยากจน.

5.เกิดเป็นหญิง
เพราะการกระทำอกุศลกรรมบถในข้อนี้จะเป็นไปแบบปิดบังซ่อนเร้น ไม่กล้า
เปิดเผย การกระทำที่ต้องหลบเลี่ยงเช่นนี้ จัดเป็นอำนาจอ่อนแบบที่เรียกว่า
สสังขาริก อันจะนำไปเกิดเป็นผู้หญิง ซึ่งเป็นเพศที่มีความลำบากมากว่าผู้ชาย
มีความอับอายในบางสิ่งบางอย่างมากกว่า มีเรื่องที่ต้องปกปิดมากกว่า นั่นเอง.

6.เกิดเป็นกระเทย
ซึ่งเป็นเพศที่สังคมส่วนใหญ่ยังไม่ยอมรับ เพราะเหตุที่ได้เคยกระทำ
กาเมสุมิฉาจาร ที่สังคมไม่ยอมรับ นั่นเอง

7.ถ้าเกิดเป็นชายก็จะเกิดในตระกูลต่ำ
เพราะในขณะที่ตาย จิตจับอารมณ์ที่ดีและเป็นอำนาจของ อสังขาริก คืออำนาจ
ที่เด็ดเดี่ยว ทำให้เกิดเป็นผู้ชาย แต่เหตุที่เคยประพฤติผิดในกามที่ยังให้ผลอยู่
จึงต้องเกิดในตระกูลต่ำและมีผลทำให้ขัดสนทรัพย์ และความอดอยากยากจน
ก็ตามมา.

8.ได้รับความอับอายอยู่เสมอ
คือเป็นคนเปิ่น ไม่ว่าจะทำอะไรก็จะเป็นที่ขบขันของคนอื่น พฤติกรรมที่แสดงออก
ไปจึงทำให้ตนเองต้องอับอาย เพราะเหตุที่เคยสร้างความอับอายไว้ให้ผู้อื่นนั่นเอง.

9.ร่างกายไม่สมประกอบ
คือ ร่างกายพิการ หรือเป็นผู้มีส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายผิดแผกแตกต่างไปจาก
คนอื่น เช่น มีความผิดปกติของอวัยวะบางส่วน อาจโตหรือเล็กผิดไปจากธรรมดา
เคยมีข่าวว่าหญิงคนหนึ่งมีอวัยวะเพศใหญ่โตผิดปกติ มีคนแห่กันไปดูมากมาย
เพราะมีร่างกายไม่สมประกอบ ซึ่งอาจทำให้ต้องได้รับความอับอายตามมา ทั้งนี้
เพราะอดีตชาติได้เคยล่วงเกินร่างกายของผู้อื่นนั่นเอง.

10.มากด้วยความวิตกกังวล
เพราะเหตุที่ได้เคยกระทำกรรมที่ต้องปกปิด กลัวว่าใครจะรู้เรื่องราวที่ตนเอง
กระทำมา จึงทำให้เกิดมาต้องเป็นคนที่มีแต่ความวิตกกังวล บางคนเมื่อมีหน้าที่
ที่จะต้องรับผิดชอบงานชิ้นหนึ่ง ก็มีแต่ความวิตกอยู่ตลอดเวลาจนงานนั้นสำเร็จ
นักเรียนบางคน พอใกล้สอบก็เกิดอาการท้องเสียบ้าง ปวดท้องบ้าง แต่เมื่อสอบเสร็จ
อาการปวดท้องนั้นก็หายไป สิ่งเหล่านี้ก็เป็นผลของความเครียด หรือความวิตก
กังวลนั่นเอง.

11.พลัดพรากจากผู้ที่ตนรัก
เพราะได้เคยทำพฤติกรรมที่เหมือนกับการไปพรากผู้เป็นที่รักของบุคคลอื่นหรือ
ผู้ที่มีเจ้าของ จึงทำให้ได้รับผลต้องสูญเสียหรือพลัดพรากจากผู้ที่ตนรัก เช่น
สามีภรรยาที่เคยรักกัน แต่ต้องมีเรื่องไม่เข้าใจกัน จนต้องเลิกร้างไปในที่สุด
หรือหนุ่มสาวที่ต้องอกหัก และแม้กระทั้งเด็กที่ต้องกำพร้า ขาดพ่อ ขาดแม่ ล้วน
เป็นผลจากการทำผิด กาเมสุมิฉาจาร ทั้งสิ้น.


12.นรกขุมที่ใช้ลงโทษผู้ผิดศีลข้อสาม
จะพบเจอสุนัขนรกไล่กัดให้ปีนขึ้นต้นงิ้วที่มีหนามเหมือนเข็มฉีดยาจำนวนมาก
ตอนปีนหนีขึ้น เข็มเหล่านี้จะชี้ลงสวนทางกับการปีนขึ้น เมื่อปีนขึ้นไปถึงยอดจะ
พบอีกานรกไล่จิกให้หนีลงมาด้านล่าง ขณะปีนลง หนามต้นงิ้วจะชี้ขึ้น พอลงถึง
ด้านล่างจะเจอสุนักนรกไล่กัดใหม่ เป็นเช่นนี้เรื่อยไปจนตาย แล้วเกิดใหม่ก็ปีน

เบญจศีล สิกขาบทที่ ๔ มุสาวาทา เวรมณี เว้นจากการพูดเท็จ

ศีลข้อนี้บัญญัติขึ้น เพื่อเป็นการป้องกันการทำลายประโยชน์ของกันและกัน ด้วยการพูด คือ ตัดประโยชน์ทางวาจา และรักษาวาจาของตนให้เป็นที่เชื่อถือของคนอื่น เมื่อเพ่งความเจริญเป็นใหญ่ พึงทราบในสิกขาบทนี้ ท่านห้ามเป็นข้อใหญ่ ๓ ประการ คือ ๑. มุสาวาท     ๒. อนุโลมุสา   ๓. ปฏิสสวะ การกระทำตามข้อ ๑ ศีลขาด กระทำตามข้อ ๒ และ ๓ ศีลด่างพร้อย

มุสาวาท
การพูดเท็จ คือ การโกหก หมายถึง การแสดงออกด้วยเจตนาบิดเบือนความจริง ให้คนหลงเชื่อแสดงออกได้ ๒ ทาง คือ
๑. ทางวาจา ได้แก่ พูดโกหกชัด ๆ
๒. ทางกาย ทำเท็จทางกาย เช่น เขียนจดหมาย โกหก ทำรายงานเท็จ ทำหลักฐานปลอม หรือ มีใครถามข้อความที่ควรรับ ก็สั่งศีรษะแสดงปฏิเสธ
เพื่อความสะดวกในการเรียน และการปฏิบัติ ท่านจำแนกกิริยาที่เป็นมุสาวาทไว้ ๗ อย่าง คือ
๑. ปด ได้แก่ พูดมุสาชัดๆ ไม่อาศัย ไม่อาศัยมูลเหตุเลย เช่น เห็นว่าไม่เห็น รู้ว่าไม่รู้ โดยโวหารต่างกัน ตามความมุ่งหมายของผู้พูด ท่านแสดงไว้เป็นตัวอย่าง ๔ ข้อ คือ
ก. พูดเพื่อจะให้เขาแตกกัน เรียกว่า ส่อเสียด
ข. พูดเพื่อจะโกงท่าน เรียกว่า หลอก
ค. พูดเพื่อจะยกย่อง ท่านเรียกว่า ยก
ง. พูดไว้แล้วไม่รับ เรียกว่า กลับคำ
๒. ทนสาบาน ได้แก่ กิริยาที่เลี่ยงสัตย์ว่า จะพูดตามจริง แต่ใจไม่ตั้งจริงตามนั้น มีพูดปดเป็นลำดับ บริวาร เช่น เป็นพยานทนสาบานไว้ แล้วเบิกความเท็จ เป็นต้น
๓. ทำเล่ห์กระเท่ห์ ได้แก่ กิริยาที่อวดอ้างความศักดิ์สิทธิ์อันไม่มีจริง เช่น อวดรู้วิชาคงกระพัน ฟันไม่เข้ายิงไม่ออก เป็นต้น ซึ่งเป็นอุบายหาลาภ
๔. มารยา  ได้แก่ กิริยาที่แสดงให้เขาเห็นผิดจากที่เป็นจริง หรือลวงให้เข้าใจผิด เช่น เป็นคนทุศีล ก็ทำท่าทางให้เขาเห็นว่ามีศีล เจ็บน้อยก็ครวญครางมาก
๕. ทำเลศ ได้แก่ พูดมุสาเล่นสำนวน เช่น เห็นคนวิ่งหนีเขามา เมื่อผู้ไล่มาถาม ไม่อยากจะให้เขาจับคนนั้นได้ แต่ไม่ต้องการให้ใครตราหน้าว่าเป็นคนพูดมุสา จึงย้ายไปยืนที่อื่น แล้วพูดว่าตั้งแต่มายืนที่นี่ ยังไม่เคยเห็นใครวิ่งมาเลย
๖. เสริมความ ได้แก่ พูดมุสาอาศัยมูลเดิม แต่ตัดความที่ไม่ประสงค์จะให้รู้ออกเสีย เรื่องมากพูดให้เหลือน้อย ปิดความบกพร่องของตน
โทษของมุสาวาท
บุคคลพูดมุสา มีโทษทั้งทางโลกและทางธรรม ทางโลกปรับโทษทางกฎหมายที่หักประโยชน์ของผู้อื่น ทางธรรมปรับโทษอย่างหนักถึงปาราชิก อย่างเบาปรับเสมอปาจิตตีย์ กล่าวโดยความเป็นกรรมมีโทษหนักเป็นชั้นกัน โดย วัตถุ เจตนา ประโยค
ก. โดยวัตถุ ถ้าข้อความนั้นเป็นเรื่องหักล้างประโยชน์ เช่น ทนสาบาน เบิกพยานเท็จ กล่าวใส่ความท่าน หลอกลวงเอาทรัพย์ท่าน มีโทษหนัก หรือกล่าวมุสาแก่ผู้มีคุณ เช่น พ่อ แม่ ครู อาจารย์ เจ้านาย และท่านผู้มีศีลธรรม มีโทษหนัก
ข. โดยเจตนา ถ้าผู้พูดคิดให้ร้ายท่าน เช่น กล่าวใส่ความท่าน มีโทษหนัก
ค. โดยประโยค ถ้าผู้พูดพยายามทำให้เขาเชื่อสำเร็จ มีโทษหนัก

อนุโลมมุสา
อนุโลมมุสา คือ เรื่องที่พูดนั้นไม่จริง แต่ผู้พูดมิได้มุ่งจะให้ผู้ฟังหลงเชื่อ แยกประเภท ๒ อย่าง คือ
๑. เสียดแทง กิริยาที่ว่าให้ผู้อื่นให้เจ็บใจ อ้างวัตถุไม่เป็นจริง กล่าวยกให้สูงกว่าพื้นเพเดิมของเขา เรียกว่า ประชด กล่าวทำให้คนเป็นคนเลวกว่าพื้นเพเดิมของเขา เรียกว่า ด่า
๒. สับปลับ ได้แก่ พูดปดด้วยคะนองวาจา
โทษของอนุโลมมุสา
อนุโลมมุสา มีโทษทั้งทางโลกและทางธรรม ทางโลกจัดว่าเป็นกิริยาที่หยาบช้าเลวทราม ไม่สมควรประพฤติ ทางธรรม จัดว่าเป็นบาป เมื่อกล่าวโดยความเป็นกรรม ก็มีโทษหนักเป็นชั้นกัน โดยวัตถุ เจตนา ประโยค
ก. โดยวัตถุ ถ้าเป็นข้อความเป็นเรื่องประทุษร้ายท่าน เช่น พูดเสียดแทง มีโทษหนัก และกว่าแก่ผู้มีคุณ ก็มีโทษหนัก
ข. โดยเจตนา ถ้าพูดใส่ร้ายผู้อื่น เช่น หวังจะให้ท่านเจ็บใจ และกล่าวเสียดแทง มีโทษหนัก
ค. โดยประโยค ถ้าผู้พูดพยายามทำความเสียหายแก่ท่านสำเร็จ เช่น ยุให้ท่านแตกกัน และเขาก็แตกกัน มีโทษหนัก

ปฏิสสวะ
ปฏิสสวะ ได้แก่ เดิมรับคำของคนอื่นด้วยเจตนาบริสุทธิ์ แต่ภายหลังกลับใจ ไม่ทำตามที่รับนั้น แม้ไม่เป็นการพูดเท็จโดยตรง แต่ก็เป็นการทำลายประโยชน์ของคนอื่นได้ มีประเภทเป็น ๓ อย่าง คือ
๑. ผิดสัญญา  ได้แก่  สองฝ่ายทำสัญญากันว่าจะทำอย่างนั้นๆ แต่ภายหลังไม่ทำอย่างนั้น เช่น ทำสัญญาจ้าง เป็นต้น
๒. เสียสัตย์ ได้แก่ ให้สัตย์แก่ท่านฝ่ายเดียวว่าตนจะทำ หรือไม่ทำเช่นนั้นๆ แต่ภายหลังไม่ทำตามนั้น เช่น ข้าราชการ ผู้ถวายสัตย์สาบานแล้ว ไม่ทำตามนั้น
๓. คืนคำ ได้แก่ รับว่าจะทำสิ่งนั้นๆ แล้วภายหลังไม่ทำ เช่น รับว่าให้สิ่งนั้นๆ แล้วไม่ให้
โทษของปฏิสสวะ คือ ทำให้เสียชื่อเสียง ตามฐานที่ไม่ตั้งอยู่ในสัตย์

ถ้อยคำที่ไม่เป็นมุสา
มีคำพูดอีกประเภทหนึ่ง ที่ผู้พูดๆ ไม่จริง แต่ก็ไม่ประสงค์ให้ผู้ฟังเชื่อ เรียกว่า ยถาสัญญา คือ พูดตามความสำคัญ ผู้พูดไม่ผิดศีล แยกประเภทเป็น ๔ อย่าง คือ
๑. โวหาร ได้แก่ ถ้อยคำที่ใช้เป็นธรรมเนียม เพื่อความไพเราะทางภาษา เช่น เราเขียนจดหมายลงท้ายด้วยความนับถืออย่างสูง ทั้งที่เราไม่ได้นับถือเขาเลย
๒. นิยาย ได้แก่ เรื่องเปรียบเทียบ เพื่อได้ใจความเป็นสุภาษิต เช่น ผูกนิยายขึ้น เช่น ลิเก ละคร
๓. สำคัญผิด ได้แก่ ผู้พูดเข้าใจผิด พูดไปตามความเข้าใจของตนเอง เช่น จำวันผิด ใครถามก็ตอบตามนั้น
๔. พลั้ง ได้แก่ ผู้พูดตั้งใจว่าจะพูดอย่างหนึ่ง แต่ปากไพล่ไปพูดอย่างหนึ่ง

หลักวินิจฉัยมุสาวาท มุสาวาทมีองค์ ๔
๑. อภูตวัตถุ   เรื่องที่พูดเป็นเรื่องไม่จริง
๒. วิวาทนจิตตัง จงใจจะพูดให้ผิด
๓. ตัชโช วายาโม  พยายามพูดคำนั้นออกไป
๔. ปะรัสสะ ตะทัตถวิชานะนัง คนอื่นเข้าใจเนื้อความนั้น

หมายความว่า ศีลข้อที่ ๔ นี้จะขาด ต่อเมื่อการพูด หรือการทำเท็จ ครบองค์ทั้ง ๔ ดังต่อไปนี้
องค์ที่ ๑ ที่ว่าเรื่องไม่จริง คือเรื่องที่พูดนั้นไม่มีจริง ไม่เป็นจริง เช่นฝนไม่ตกเลย แต่เราบอกว่าฝนตก อย่างนี้เรียกว่าเรื่องไม่มีจริง หรือฝนตก แต่เราพูดว่าฝนไม่ตก อย่างนี้ก็ เรียกว่า เรื่องไม่มีจริง เพราะเรื่องฝนไม่ตก ไม่มีจริง เรื่องที่จริงนั้นก็คือเรื่องฝนตก
องค์ที่ ๒ จิตคิดจะพูดให้ผิด คือมีเจตนาจะพูดบิดเบือนความจริงเสีย ถ้าพูดโดยไม่ เจตนาจะพูดให้ผิด ศีลไม่ขาด
องค์ที่ ๓ พยายามพูดออกไป คือได้กระทำการเท็จด้วยเจตนานั้น ไม่ใช่เพียงแต่คิดเฉยๆ
องค์ที่ ๔ คนอื่นเข้าใจเนื้อความนั้น เป็นข้อวินิจฉัยที่สำคัญอย่างหนึ่ง คำว่า "ผู้อื่น"ในที่นี้ หมายถึง คนที่เราต้องการจะโกหก ถ้าผู้อื่นเข้าใจคำที่เราพูดนั้น เป็นศีลขาด ส่วนที่ว่า เขาจะเชื่อหรือไม่นั้น ไม่ถือเป็นสำคัญ ถ้าพูดไปแล้ว เขาไม่เข้าใจ เช่น เราโกหกเป็นภาษาไทย ให้ฝรั่งฟังเขาไม่รู้ภาษา ศีลไม่ขาด

====
ถาม
มุสาวาทมีโทษมาก มีโทษน้อย เพราะเหตุไร
ตอบ
มีโทษมาก เพราะเหตุดังนี้
๑. เพราะประโยชน์ที่หักรานมาก
๒. เพราะผู้ที่ถูกหักรานประโยชน์มีคุณมาก
๓. เพราะกิเลสแรงกล้า
๔. เพราะเป็นพยานกล่าวเท็จหักรานประโยชน์
๕. เพราะตนมิได้เห็นแกล้งกล่าวว่าเห็น
๖. เพราะความพยายามกล้า
มีโทษน้อย เพราะเหตุดังนี้
๑. เพราะประโยชน์ที่หักรานน้อย
๒. เพราะผู้ที่ถูกหักรานประโยชน์มีคุณน้อย
๓. เพราะความพยายามน้อย
๔. เพราะกิเลสอ่อน

ถาม
ความแตกต่างกันในระหว่างบรรพชิตกับคฤหัสถ์ เกี่ยวกับเรื่องมุสาวาทนี้ เป็นอย่างไรบ้าง
ตอบ
เป็นอย่างนี้คือ
ก. สำหรับพวก คฤหัสถ์ พูดมุสาวาทว่า "ไม่มี" เพราะไม่ประสงค์จะให้ของๆ ตน มีโทษน้อย
ข. สำหรับพวก บรรพชิต กล่าวเพื่อให้หัวเราะ เช่น ได้น้ำมันและเนยใสน้อย พูดว่า
 "วันนี้น้ำมันกับเนยใสในบ้านไหลดุจแม่น้ำ" มีโทษน้อย

ถาม
ถ้าบุคคลรักษาศีลข้อมุสาวาทนี้ได้ดี จะมีอานิสงส์ เป็นประการใดบ้าง
ตอบ
มีอานิสงส์อย่างนี้ คือ
๑. มีอินทรีย์ผ่องใส
๒. กล่าวถ้อยคำสละสลวยอ่อนหวานนิ่มนวล
๓. มีฟันเรียบเสมอดี
๔. ไม่อ้วนเกินไป
๕. ไม่ผอมเกินไป
๖. ไม่เตี้ยเกินไป
๗. ไม่สูงเกินไป
๘. มีสัมผัสเป็นสุข
๙. มีกลิ่นปากหอมดุจกลิ่นดอกอุบล
๑๐. ไม่มีคนริษยาลูกสะใภ้
๑๑. พูดแต่คำที่ควรพูด
๑๒. มีลิ้นอ่อนเช่นกับกลีบกมล อุบล และมีลิ้นมีโลหิต ซึมซาบเป็นอย่างดี
๑๓. ไม่ฟุ้งซ่าน
๑๔. มีคนรักใคร่พอใจ

====

ศีลขาด
คือ เจตนากล่าวคำเท็จ โกหก หลอกลวง บิดเบือนไปจากความจริง หรือสัจจะ

ศีลทะลุ
คือ เจตนากล่าววาจา ระบายโทสะ บำเรอโลภะ บำรุงราคะ เป็นคำหยาบ

ศีลด่าง
คือ มีวาจาส่อไปในทางเสียด เสียดสีเชิงโทสะบ้าง เสียดสีเชิงโลภะบ้าง เสียดสีเชิงราคะบ้าง เสียดสีเชิงมานะทิฏฐิบ้าง เสียดสีเชิงมานะอัตตาบ้าง แม้จางบางเบา หรือพูดกับคนโน้นทีคนนี้ที เพื่อให้เกิดวิวาทบาดหมาง แยกก๊ก แบ่งเหล่า ก็จัดเข้าอยู่นัยนี้ เป็นวาจาส่อเสียด การนินทาให้ร้ายผู้อื่นก็จัดเป็นการส่อเสียด

ศีลพร้อย
คือ มีวาจาเรื่อยเปื่อยเฉื่อยฉ่ำไป เพ้อไป พล่อยไป พล่ามไป จะโดยแรงเร้าจากโทสะที่จากบางเบา โลภะที่จางบางเบา ราคะที่จางบางเบา หรือมานะทิฏฐิที่จางบางเบา มานะอัตตาที่จางบางเบา ก็จัดเข้าอยู่นัยนี้ เป็นวาจาเพ้อเจ้อ

เป็นไทโดยศีล
ขัดเกลาตนจนอิสระเสรี มีวาจาประชาสัมพันธ์ เป็นไปโดยสามารถของตนไร้อิทธิพลจากโทสะ โลภะ ราคะ มานะทิฏฐิ มานะอัตตามาครอบงำ หรือไม่มีความพร้อย ความด่าง ความทะลุ หรือขาดทางศีลธรรม โดยเฉพาะเรื่องราว ลดมิจฉาสู่สัมมา หรือลดมุสา (วาจาอันเป็นเท็จจากสัจจะ) พัฒนาสัจจวาจา

การรับรู้รายได้

สรุปคือรับรู้เมื่อได้เงินแน่นอนจึงกล้านำมาบันทึกไว้ในบัญชีงบกำไรขาดทุน รายละเอียด:

รายได้ (Revenue) หมายถึง กระแสเข้าของประโยชน์เชิงเศรษฐกิจ (Inflow of Economic Beneflt) ก่อนหักค่าใช้จ่ายที่กิจการได้รับหรือค้างรับ ในรอบระยะเวลาบัญชีซึ่งเกิดขึ้นจากกิจกรรมตามปกติของกิจการเมื่อกระแสเข้า นั้นส่งผลให้ส่วนของเจ้าของเพิ่มขึ้นทั้งนี้ไม่รวมถึงเงินทุนที่ได้รับจาก ผู้มีส่วนร่วมในส่วนของเจ้าของกิจการ เงินที่กิจการเรียกเก็บแทนบุคคลที่สามการรับรู้รายได้(RevenueRecognition) หมายถึงการรวบรวมรายการหรือเหตุการณ์ทางบัญชีเข้าเป็นส่วนหนึ่งของงบกำไรขาด ทุน ดังนั้น เมื่อกิจการมีการรับรู้รายได้จะต้องปฏิบัติ คือ จะต้องนำรายการหรือเหตุการณ์ทางบัญชีนั้นไปบันทึกบัญชีเป็นรายได้ และนำรายได้ดังกล่าวไปคำนวณกำไรสุทธิในงบกำไรขาดทุน 

การรับรู้รายได้ของธุรกิจมีดังต่อไปนี้ 
  1. การรับรู้รายได้ของธุรกิจขายสินค้า
การรับรู้รายได้จากการขายสินค้าจะต้องเข้าหลักเกณฑ์เงื่อนไขครบทุกข้อดังนี้ 
                1.1)   กิจการได้โอนความเสี่ยงและผลตอบแทนที่เป็นสาระสำคัญของความเป็นเจ้าของ 
                         สินค้าให้กับผู้ซื้อแล้ว 
                1.2)   กิจการไม่เกี่ยวข้องในการบริหารสินค้าอย่างต่อเนื่องในระดับที่เจ้าของพึง กระทำ 
                         หรือไม่ได้ควบคุมสินค้าที่ขายไปแล้วทั้งทางตรงและทางอ้อม 
                1.3)   กิจการสามารถวัดมูลค่าของจำนวนรายได้ได้อย่างน่าเชื่อถือ 
                1.4)   มีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ที่กิจการจะได้รับประโยชน์เชิงเศรษฐกิจของ 
                         รายการบัญชีนั้น 
                1.5)   กิจการสามารถวัดมูลค่าของต้นทุนที่เกิดขึ้นหรือที่จะเกิดขึ้นมาจากรายการบัญชีนั้นได้ 
                         อย่างน่าเชื่อถือ 
      2.  การรับรู้รายได้ของธุรกิจให้บริการ การรับรู้รายได้จากการให้บริการ จะต้องเข้าหลักเกณฑ์เงื่อนไขครบทุกข้อดังนี้ 
                2.1)   กิจการสามารถวัดมูลค่าของจำนวนรายได้ได้อย่างน่าเชื่อถือ 
                2.2)   มีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ที่กิจการจะได้รับประโยชน์เชิงเศรษฐกิจของ 
                         รายการบัญชีนั้น 
                2.3)   กิจการสามารถวัดขั้นความสำเร็จของรายการบัญชี ณ วันที่ในงบดุลได้อย่างน่าเชื่อถือ 
                2.4)   กิจการสามารถวัดมูลค่าของต้นทุนได้อย่างน่าเชื่อถือ ซึ่งเป็นต้นทุนที่เกิดขึ้นแล้วและ 
                        ที่จะเกิดขึ้นเพื่อทำให้รายการบัญชีนั้นเสร็จสมบูรณ์ 
  
      3.   การรับรู้รายได้ค่าดอกเบี้ย ค่าสิทธิ และเงินปันผล การรับรู้รายได้ค่าดอกเบี้ย ค่าสิทธิ และเงินปันผลที่เกิดจากการให้ผู้อื่นใช้สินทรัพย์ของกิจการ จะรับรู้รายได้เมื่อเข้าเงื่อนไขครบทุกข้อดังนี้ 
                3.1)   มีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ที่กิจการจะได้รับประโยชน์เชิงเศรษฐกิจของ 
                         รายการบัญชีนั้น 
                3.2)   กิจการสามารถวัดมูลค่าของจำนวนรายได้ได้อย่างน่าเชื่อถือ การรับรู้รายได้อื่น 
                         ของดอกเบี้ย ค่าสิทธิ และเงินปันผล 
                จะปฏิบัติการรับรู้รายได้ดังต่อไปนี้ 
                                3.2.1)   รับรู้รายได้ค่าดอกเบี้ย รับรู้ตามเกณฑ์สัดส่วนของเวลาโดยคำนึงถึง 
                                            อัตราผลตอบแทนที่แท้จริงของสินทรัพย์ 
                                3.2.2)   รับรู้รายได้ค่าสิทธิรับรู้ตามเกณฑ์คงค้างซึ่งเป็นไปตามเนื้อหาของ 
                                           ข้อตกลงที่เกี่ยวข้อง 
                                3.2.3)   รับรู้รายได้เงินปันผล รับรู้เมื่อผู้ถือหุ้นมีสิทธิได้รับเงินปันผล

การสั่งงานให้ได้ผล

ต้องทำให้ลูกน้องได้รับสารครบถ้วนในสองมิติคือ
  1. เนื้อหาสาระของงานและ
  2. ความรู้สึกว่าได้รับเกียรติถ้าทำงานนี้
--CUradio

วันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2555

วันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2555

หมาเห่า


Rating VS Ranking

Rating คือการให้คะแนนซึ่งอาจเป็นเลขจำนวนเต็มหรือทศนิยม
Ranking คือการจัดอันดับ (sorting) หรือการจำแนกลงกลุ่ม (classification)

How fortunate you are?


น้ำมันแพงเพราะ...


The True Power..


วิธีคิดของคนรวยคนจน


วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ผู้ใดยกย่องครู ผู้นั้นยกย่องตนเอง

--ภาพยนตร์เฉินหลง เจ็ทลี

วันอังคารที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2555

วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Passion VS Motivation VS Inspiration

Passion = ความอยาก, กิเลส
Motivation = สิ่งกระตุ้นการกระทำ (external driving force) มักใช้กับสิ่งที่ควรทำเพราะปัจจัยภายนอก
Inspiration = แรงบันดาลใจ (internal/mental driving force) มักใช้กับสิ่งที่อยากทำขึ้นมาเอง
เช่น สิ่งกระตุ้นให้ทำวิจัยเรื่องนี้ แต่จริงๆ ไม่ได้อยากทำวิจัยแค่อยากเรียนให้จบได้ปริญญา

วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2555

วันพุธที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2555

วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Tycoon


A tycoon is a person who is successful in business and so has become rich and powerful.

วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Webometrics

"ม. เกษตรฯ ติดอันดับ 1 ของประเทศไทย 3 ปีติดต่อกัน จากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกตามเกณฑ์ Webometrics

รศ.วุฒิชัย กปิลกาญจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ติดอันดับที่ 1 ของประเทศไทย อันดับที่ 2 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อันดับที่ 12 ของเอเชีย และเป็นอันดับที่ 166 ของโลก จากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลก ประจำเดือนกรกฎาคม ค.ศ.2012 จากผลการจัดอันดับตั้งแต่เดือน ก.ค.2011 ม.ค.2012 และ ก.ค.2012 ตามเกณฑ์ Webometrics จัดทำโดย Cybermetrics Lab กลุ่มวิจัยของ the Consejo Superior de Investigaciones Cientificas (CSIC) ประเทศสเปน

ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ครองแชมป์อันดับที่ 1 ของประเทศไทย 3 ปีติดต่อกัน ซึ่งเป็นการจัดอันดับสมรรถนะของมหาวิทยาลัยบนโลกอินเตอร์เน็ต โดยใช้เกณฑ์ตัวชี้วัดในการการจัดอันดับคือจำนวนลิงค์ภายนอกที่ลิงค์มาเว็บไซต์มหาวิทยาลัย (Impact) 50% จำนวนหน้าเว็บของมหาวิทยาลัยภายใต้ Domain เดียวกัน (Presence) 20%จำนวนไฟล์ข้อมูลที่นำเสนอบนเว็บไซต์มหาวิทยาลัย (Openness) 15 % และจำนวนบทความวิชาการตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติ (Excellence) 15% ซึ่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้รับ Impact  91 คะแนน Presence 36 คะแนน Openness 262 คะแนน และ Excellence 1,157 คะแนน ตามลำดับ นับเป็นความภาคภูมิใจของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และประเทศไทย ที่สามารถทำให้ผู้ใช้บริการสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ และที่นำไปใช้ประโยชน์ได้กว้างขวางบนโลกอินเตอร์เน็ต"--มติชน

วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2555

กรรมดีก็มีโทษ


  • กำลังบุญเปรียบเหมือนแรงในการวิ่งหนีโจรซึ่งเปรียบเหมือนกำลังบาปการจะวิ่งหนีได้ตลอดต้องอาศัยการทำบุญที่สม่ำเสมอ
  • ผลของบุญมีโทษทำให้ผู้รับผลหลงในสุขแห่งผลเหล่านั้นได้หากไม่เข้าใจว่าผลเหล่านี้เป็นไตรลักษณ์คือเกิดขึ้นแต่ไม่เที่ยงและจะดับไปในที่สุด เช่น คนรวยที่ดูถูกคนจน คนฉลาดที่ดูถูกผู้คนรอบข้าง
  • ปัญญาเกิดจากจิตที่สงบจากความโลภความโกรธความหลง

ขนาดของนิทรรศการ


1. การจัดแสดงขนาดเล็ก  (display) หมายถึง การนำเอาวัสดุ  สิ่งของมาแสดงในพื้นที่จำกัด
อาจจัดแสดงเพียงหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งหรือสองสามหัวข้อ ภายใต้จุดมุ่งหมายเดียวกัน  การจัดแสดง
ขนาดเล็กดังกล่าวแบ่งเป็น  2  รูปแบบ
          1.1  การจัดแสดงสินค้า  (merchandising display)  คือ  การจัดแสดงสินค้าภายในตู้โชว์
(window  display)  และการแสดงตามมุมใดมุมหนึ่งของอาคาร  (interior display)
          1.2 การแสดงทางการศึกษา  (education display)  คือการแสดงในด้านการให้ความรู้ โดยใช้
วัสดุสามมิติ  วัสดุกราฟฟิค  (ลายเส้น)  และการสาธิตต่าง ๆ
2. นิทรรศการ  (exhibition)  คือ  การจัดแสดงที่มีหลาย ๆ จุดมุ่งหมายหรือหลายๆ เรื่องมาจัดกลุ่มเป็นหมวดหมู่ ภายใต้ชื่องานดียวกัน หรือเป็นการนำ display หลายๆ display มาจัดแสดงในพื้นที่เดียวกัน เช่น  นิทรรศการทางวิชาการ นิทรรศการทางการเกษตร นิทรรศการทางศิลปะ ตลอดจนการแสดงสินค้าตกแต่งบ้าน  และการแสดงสิ่งต่างๆ ในรูปแบบ พิพิธภัณฑ์  เป็นต้น
3. งานออกร้าน  (fair)  คือ การแสดงส่วนย่อย ๆ ที่มีหลากหลายวัตถุประสงค์ในบริเวณเดียวกัน เช่น
งานประกวด  ตลาดนัด  งานกาชาด หรืองานออกร้าน โดยการรวมกลุ่มกันของพ่อค้า (trade  fair)  เป็นต้น
4. งานแสดงขนาดใหญ่  (exposition, Expo)  คือ การแสดงวัตถุหรือสินค้าในระดับชาติ  ระดับนานาชาติ
หรือระดับโลก  ที่รวบรวมงานแสดงลักษณะต่าง ๆ ที่กล่าวมาตั้งแต่งานแสดงขนาดย่อย  งานแสดงนิทรรศการงานออกร้าน ไว้ในงานหรือในพื้นที่เดียวกัน
        การแบ่งนิทรรศการตามขนาดความเล็กใหญ่  หรือระดับของงานเพื่อแสดงให้เห็นความแตกต่างของการจัดงานซึ่งมีองค์ประกอบในด้านของการเตรียมงาน  การวางแผน  การออกแบบ  การดำเนินงาน  รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการจัดงานที่มีความแตกต่างกันตามขนาดหรือระดับการจัดงาน

วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

การทำบุญให้ได้บุญ

เมื่อทำบุญ (หมายถึงทำทาน,ศีล และภาวนา) โดยเฉพาะการทำทาน จะก่อให้เกิดบุญ แต่คนทำอาจไม่ได้บุญถ้าศีลบกพร่อง เช่น กังวลกลัวไปถึงวันที่ 9 ไม่ทัน สมาธิไม่มีคือไม่มีสมาธิจิตว้าวุ่น ปัญญาไม่เกิดคือไม่เห็นประโยชน์ของการถวายเทียนพรรษาว่าช่วยให้พระสงฆ์ท่านปฎิบัติศาสนกิจได้เป็นการต่ออายุพระศาสนาทำให้พระท่านสามารถมาเทศนาญาตโยมได้ทำให้สังคมดีขึ้น

การทำบุญต้องไม่ติดอยู่แต่การทำทาน แต่ต้องก้าวไปข้างหน้าตามหนทางแห่งมรรคมีองค์ 8 ซึ่งจำแนกได้ 3 กลุ่มคือทาน ศีล ภาวนา

การทำบุญที่ยังมีกิเลส (โอปติยบุญ) คือทำบุญเพื่อตนเอง ส่วนระดับสูงขึ้นคือทำบุญเืพื่อปันบุญให้ลูกเต้าพ่อแม่ หรือมนุษยชาติซึ่งจะทำให้ปิติมากยิ่งขึ้นคือได้บุญมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะพระที่ทำบุญต้องไม่หวังว่าตนจะไปเป็นเทวดาซึ่งเป็นการคิดที่ผิดแต่ต้องคิดว่าเพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก คิดให้บุญพาเราก้าวหน้าไปในมรรคไม่ติดอยู่กับบุญขั้นต้นเท่านั้น

วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

คนพาล

คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว และอาจนำความเดือดร้อนมาให้เราหากไปคบด้วย

วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Independent Software Vendor (ISV)

คือบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ออกมาขายหรือขายผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์สำเร็จรูป
ถ้าพัฒนาเองก็เรียกว่า software house ด้วย

คุณค่าของงานวิจัยวัดจากอะไร

  • วัดแบบหยาบคือดูที่ Impact factor ของปีปัจจุบันของวารสารที่ตีพิมพ์ ซึ่งหมายถึงอัตราส่วนของจำนวนครั้งที่บทความต่างๆในวารสารดังกล่าวที่ตีพิมพ์ในสองปีที่ผ่านมาถูก cited ในปีปัจจุบันต่อจำนวนบทความทั้งหมดที่ตีพิมพ์ในวารสารดังกล่าวในสองปีที่ผ่านมา
  • วัดแบบแม่นยำคือจำนวน citation ของบทความวิจัยนั้นๆ นั่นคือค่า H-index (an index that attempts to measure both the productivity and impact of the published work of a scientist or scholar. The index is based on the set of the scientist's most cited papers and the number of citations that they have received in other publications.) ค่า H-index ยังใช้ในการพิจารณาตัดสินรางวัล TRF-Elsevier researcher award (http://asia.elsevier.com/TRFCHEScopus2012) H-index ยิ่งสูงยิ่งถือว่าดี สำหรับคำอธิบายเพิ่มเติมดูได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/H-index as below:
we compute the h-index as follows: First we order the values of f (i.e., citation count) from the largest to the lowest value. Then, we look for the last position in which f is greater than or equal to the position (we call h this position). For example, if we have a researcher with 5 publications A, B, C, D, and E with 10, 8, 5, 4, and 3 citations, respectively, the h-index is equal to 4 because the 4th publication has 4 citations and the 5th has only 3. In contrast, if the same publications have 25, 8, 5, 3, and 3 citations, then the index is 3 because the fourth paper has only 3 citations.
f(A)=10, f(B)=8, f(C)=5, f(D)=4, f(E)=3 → h-index=4
f(A)=25, f(B)=8, f(C)=5, f(D)=3, f(E)=3 → h-index=3



วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อคติ 4


พุทธศาสนาแบ่งอคติออกเป็น 4 ประเภท ตามพื้นฐานแห่งจิตใจ คือ

1. ฉันทาคติ ความละเอียงเพราะความรักใคร่ หมายถึง การทำให้เสียความยุติธรรม เพราะอ้างเอาความรักใคร่หรือความชอบพอกัน ซึ่งมักเกิดกับตนเอง ญาติพี่น้อง และคนสนิทสนม การแก้ฉันทาคติ ต้องทำใจให้เป็นกลาง โดยการปฏิบัติต่อทุกคนให้เหมาะสมเหมือนๆกัน

2. โทสาคติ ความละเอียงเพราะความไม่ชอบ เกลียดชัง หรือโกรธแค้น หมายถึง การทำให้เสียความยุติธรรม เพราะความโกรธ หรือลุอำนาจโทสะ การแก้ไขโทสาคติ ทำได้ด้วยการทำใจให้หนักแน่น รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา และพยายามแยกเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานออกจากกัน

3. โมหาคติ ความละเอียงเพราะความไม่รู้ หรือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หมายถึง การทำให้เสียความยุติธรรมเพราะความสะเพร่า ความไม่ละเอียดถี่ถ้วน รีบตัดสินใจก่อนพิจารณาให้ดี วิธีแก้ไข ทำด้วยการเปิดใจให้กว้าง ทำใจให้สงบ มองโลกในแง่ดี และยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น

4. ภยาคติ ความละเอียงเพราะความกลัวหรือความเกรงอำนาจ หมายถึง การทำให้เสียความยุติธรรม เพราะมีความหวาดกลัว หรือเกรงกลัวภยันตราย วิธีแก้ทำได้ด้วยการพยายามฝึกให้เกิดความกล้าหาญ โดยเฉพาะความกล้าหาญทางจริยธรรม คือ กล้าคิด กล้าพูดในสิ่งที่ดีงาม

วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ศัพท์บัญชี

  • ต้นทุน (cost)
  • รายจ่าย (expense)
  • รายได้ (revenue)
  • กำไร (profit) = revenue - expense
  • ขาดทุน (loss)

วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วันพุธที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

Provident fund ไม่ถูกหักภาษีถ้าเกษียณอายุตามข้อบังคับกองทุน และอายุเกิน 55 ปี และเป็นสมาชิกต่อเนื่องมาไม่น้อยกว่า 5 ปี มิเช่นนั้นต้องนำไปคำนวณภาษี

วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ฉากหลังของผู้อ่านข่าว

ที่เป็นภาพคอมพิวเตอร์ปรากฎขึ้นได้เพราะผู้อ่านข่าวยืนอยู่หน้า Virtual set ที่สร้างจาก green screen

ในอนาคต e-learning จะใ้ช้เทคนิคเดียวกันโดยครูผู้สอนอยู่ในห้องเล็กๆที่มีการจัด virtual set ไว้ทำให้ นร เห็นเหมือนครูสอนอยู่ในสถานการณ์จริงแบบ Hollywood ได้

วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

กรรมที่ทำให้มีเกียรติมีชื่อเสียงเกิดในตระกูลสูง


สังคหวัตถุ 4 หมายถึง หลักธรรมที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจของผู้อื่น ผูกไมตรี เอื้อเฟื้อ เกื้อกูล หรือเป็นหลักการสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน มีอยู่ 4 ประการ ได้แก่
1. ทาน คือ การให้ การเสียสละ หรือการเอื้อเฟื้อแบ่งปันของๆตนเพื่อประโยชน์แก่บุคคลอื่น ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว ไม่เป็นคนเห็นแก่ได้ฝ่ายเดียว คุณธรรมข้อนี้จะช่วยให้ไม่เป็นคนละโมบ ไม่เห็นแก่ตัว เราควรคำนึงอยู่เสมอว่า ทรัพย์สิ่งของที่เราหามาได้ มิใช่สิ่งจีรังยั่งยืน เมื่อเราสิ้นชีวิตไปแล้วก็ไม่สามารถจะนำติดตัวเอาไปได้
2. ปิยวาจา คือ การพูดจาด้วยถ้อยคำที่ไพเราะอ่อนหวาน พูดด้วยความจริงใจ ไม่พูดหยาบคายก้าวร้าว พูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์เหมาะสำหรับกาลเทศะ พระพุทธเจ้าทรงให้ความสำคัญกับการพูดเป็นอย่างยิ่ง เพราะการพูดเป็นบันไดขั้นแรกที่จะสร้างมนุษย์สัมพันธ์อันดีให้เกิดขึ้น วิธีการที่จะพูดให้เป็นปิยวาจานั้น จะต้องพูดโดยยึดถือหลักเกณฑ์
ดังต่อไปนี้
เว้นจากการพูดเท็จ
เว้นจากการพูดส่อเสียด
เว้นจากการพูดคำหยาบ
เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ
3. อัตถจริยา คือ การสงเคราะห์ทุกชนิดหรือการประพฤติในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น
4. สมานัตตา คือ การเป็นผู้มีความสม่ำเสมอ หรือมีความประพฤติเสมอต้นเสมอปลาย คุณธรรมข้อนี้จะช่วยให้เราเป็นคนมีจิตใจหนักแน่นไม่โลเล รวมทั้งยังเป็นการสร้างความนิยม และไว้วางใจให้แก่ผู้อื่นอีกด้วย

บุญจากสังคหวัตถุ 4 จะทำให้ได้รับความช่วยเหลือ เช่น ระหว่างเรียน ป เอก

เป็นดาราได้บุญหรือบาป


เมื่อครั้งพุทธกาล  มีมานพหนุ่มคนหนึ่งได้ทูลถามพระพุทธองค์ว่า     การแสดงการละเล่นขับร้องพ้อนรำทำให้มหาชนเกิดความเพลิดเพลินมีความสุข  จะได้อนิสงฆ์มากเท่าใด

พระพุทธองค์ทรงดำรัสว่า     เธออย่าไปรู้เลย

มานพหนุมได้ทูลถามอีก

พระพุทธองค์ตรัสว่า     เป็นสิ่งที่เธอไม่ควรรู้

มานพได้ถามอีกเป็นครั้งที่ 3

พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า     ผู้ที่แสดงขับร้องและการละเล่นต่าง ๆ นั้น  จะไปสู่ทุกข์คติอบายทุกคน  เพราะทำให้คนเกิดความลุ่มหลงในความเพลิดเพลิน นำไปสู่กามตัณหา

มานพหนุ่มได้ยินดังนั้นถึงกับร้องไห้คร่ำครวญ ลำพันว่าไม่น่าเลย

พระพุทธองค์จึงได้ตรัสกับมานพว่า     เราบอกตั้งแต่แรกแล้วว่า เป็นสิ่งที่เธอไม่ควรรู้  แล้วเวลานี้มาร้องไห้เสียใจอยู่ทำไม

มานพตอบว่า     ครูอาจารย์ได้บอกว่าเมื่อตายแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์ เพราะทำให้มหาชนมีความสุข  ลืมทุกข์ได้บ้าง  ที่กระผมร้องไห้เพราะมีความเสียใจว่า  ครูอาจารย์ไม่น่าสอนในสิ่งที่ผิดแบบนี้เลย

หลังจากนั้นมาได้ขอบวชกับพระพุทธองค์ และเพียรปฎิบัติจนได้บรรลุธรรม  สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในวันน้น
===

ขอเพียงมีสิ่งที่คนชอบใจ  

ปุถุชนผู้คลั่งไคล้ในกาม  ย่อมคลั่งใคล้ผู้นั้น

ครั้นแล้วปุถุชนผู้ยินดีในกามก็ยกย่องผู้นั้น  ให้เป็นเลิศ เป็นดาราครับ

วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

การบวช

  1. ก่อนวันบวช 1 วันเรียกว่าวันสุกดิบจะมีการปลงผมเพื่อเป็นนาค เรียกว่านาคเพื่อระลึกถึงนาคที่เคยมาขอบวชในสมัยพุทธกาล จากนั้นรับนาคโดยขบวนแตรวงไปขอขมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ 
  2. พอวันรุ่งขึ้นก็ทำพิธีแห่นาครอบพระอุโบสถสามรอบเวียนตามเข็มนาฬิกา จากนั้นทำพิธีบรรพชาเป็นสามเณรและพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุตามลำดับ

วันเสาร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

การกู้เิงินโดย SME

ธนาคารจะพิจารณาจากศักยภาพในการชำระหนี้และความตั้งใจในการชำระหนี้ หรือเรียกว่าวัฒนธรรมการชำระหนี้คือเชื่อว่าเป็นหนี้แล้วต้องชำระ แต่หาก SME มั่นใจว่าตัวเองมีศักยภาพแต่ไม่ได้รับการปล่อยกู้ให้ไปติดต่อ บยส(บรรษัทประกันสินเชื่อขนาดย่อม) จะช่วยค้ำประกันให้

วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Algorithm complexity implies time, space and energy consumption

..."In essence, an algorithm’s computational complexity is a measure of how the time and/or space it requires to execute grows with the size of the representation of its input."..."when looked at from a slightly different perspective, the entire body of computational complexity research is really a study of how algorithms consume energy and, hence, could serve as a source of guidance for application level energy management."
--Gartner's "AI and IAM: Computational Complexity and Application Level Energy Management"

วันอาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) (TOT Public Company Limited)

ปัจจุบันยังคงมีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นร้อยละ 100 จึงไม่มีชื่อย่อหุ้นใน settrade

Can't live on only iOS app development.


วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ความคิดระดับต่างๆ


ความคิดระดับสูงที่ใช้ในการฝึกฝนความคิดในปัจจุบันมักจะเกี่ยวข้องกับคุณลักษณะความคิด ดังต่อไปนี้คือ
1. ความคิดวิจารณญาณ (Critical Thinking)
2. ความคิดสร้างสรรค์ (Creative thinking)
3. ความคิดแบบอภิปัญญา (Metacognition) คือความคิดที่เข้าใจความคิดของตนเอง การเรียนรู้ที่ผู้เรียนมีสติและมีความรู้เกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้ของตนเอง
4. ความคิดแก้ปัญหา (Problem Solving)
5. การตัดสินใจ (Decision Making)
6. การคิดแบบญาณปัญญา (Intuitive Thinking) อาคีมีดีส นักปรัชญา อริสโตเติล หรือนักปราชญ์
นักบวช ส่วนใหญ่จะพบว่าญาณปัญญาจะเกิดเฉพาะเมื่อมีความรู้สึกผ่อนคลาย สงบ และมีสมาธิ
แน่วแน่ เช่น อาคีมีดิส คิดวิธีการทางวิทยาศาสตร์ได้ในขณะอยู่ในอ่างนํ้า นักบวชหลายท่านบรรลุ
ญาณต่างๆ ในป่าเขาลำ เนาไพร
7. ความคิดในด้านดี (Positive Thinking)

ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ:เกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษาพศ2548

"๑๐. ภาระงานที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์และการค้นคว้าอิสระ
๑๐.๑ อาจารย์ประจำ ๑ คนให้เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาปริญญาโท
และปริญญาเอกรวมกันได้ไม่เกิน ๕ คน หากหลักสูตรใดมีอาจารย์ประจำที่มีศักยภาพพร้อมที่จะดูแลนักศึกษาได้มากกว่า ๕ คน ให้อยู่ในดุลยพินิจของสถาบันอุดมศึกษานั้น แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกิน ๑๐ คน
๑๐.๒ อาจารย์ประจำ ๑ คนให้เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาการค้นคว้าอิสระของนักศึกษา
ปริญญาโทได้ไม่เกิน ๑๕ คน
หากเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาทั้งวิทยานิพนธ์และการค้นคว้าอิสระ ให้คิดสัดส่วน
จำนวนนักศึกษาที่ทำวิทยานิพนธ์ ๑ คน เทียบได้กับจำนวนนักศึกษาที่ค้นคว้าอิสระ ๓ คน ทั้งนี้
ให้นับรวมนักศึกษาที่ยังไม่สำเร็จการศึกษาทั้งหมดในเวลาเดียวกัน"

กรอบแนวคิดในการวิจัย (Conceptual framework of research)

เป็นการแสดงโครงสร้างความสัมพันธ์ของตัวแปรต้น(ตัวแปรอิสระ)โยงด้วยเส้นลูกศรชี้มายังตัวแปรตาม(ตัวแปรหลัก) ไม่ใช่กิจกรรมหรือขั้นตอนการทำวิจัยหรือขอบเขตการวิจัย--รศ ดร โกศล มีคุณ

ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม และตัวแปรแทรกซ้อน (Source: http://nakhonsawanresearch.blogspot.com/2012/03/variable.html)
      2.1 ตัวแปรต้น หรือตัวแปรอิสระ (independent variable) เป็นตัวแปรเหตุที่ทำให้ผลตามมา หรือทำให้สิ่งที่เกี่ยวข้องอยู่ด้วยเปลี่ยนแปลงคุณลักษณะ หรือ แปรสภาพไป เช่น งานวิจัยเรื่อง ผลของน้ำผึ้งในการรักษาแผลเบาหวาน ตัวแปรต้น คือ น้ำผึ้ง ตัวแปรต้นจะมีลักษณะดังนี้
- เป็นตัวแปรเหตุ
- เป็นตัวแปรที่มาก่อน
- เป็นตัวแปรที่จัดกระทำในการทดลอง
- มีลักษณะเป็นตัวทำนาย
- เป็นตัวกระตุ้น
- มีความคงทน ถาวร
      2.2 ตัวแปรตาม (dependent variable) เป็นตัวแปรที่มีผลมาจากตัวแปรต้น ไป เช่น งานวิจัยเรื่อง 
ผลของน้ำผึ้งในการรักษาแผลเบาหวาน ตัวแปรตาม คือ การหายของแผล ซึ่งตัวแปรตามจะมีลักษณะ ดังนี้
- เป็นตัวแปรที่เป็นผล
- เกิดขึ้นภายหลัง
- เกิดขึ้นเองไม่สามารถจัดกระทำได้ในการทดลอง
- เป็นตัวถูกทำนาย
- เป็นตัวตอบสนอง
- เปลี่ยนแปลงได้ง่าย
      2.3 ตัวแปรภายนอก หรือตัวแปรแทรกซ้อน (extraneous variable) หมายถึง ตัวแปรอื่น ๆ 
นอกเหนือจากตัวแปรต้น ที่มีผลต่อตัวแปรตาม ซึ่งตัวแปรแทรกซ้อนนี้นักวิจัยต้องพยายามควบคุม หรือขจัดอิทธิพลของตัวแปรแทรกซ้อนหรือตัวแปรภายนอกให้หมดไป หรือให้เหลือน้อยที่สุด เช่น งานวิจัยเรื่อง ผลของน้ำผึ้งในการรักษาแผลเบาหวาน ตัวแปรภายนอกได้แก่ ความลึกของแผล อาหารที่ผู้ป่วย รับประทาน เป็นต้น
จำนวนและความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้นและตัวแปรตาม
1. ตัวแปรต้นตัวเดียว และตัวแปรตามตัวเดียว
ตัวอย่าง -ความสัมพันธิ์ระหว่างระยะเวลาการทำงานกับการเกิดอุบัติเหตุในขณะทำงาน ของ คนงานโรงงานผลิตอาหารกระป๋อง
2. ตัวแปรต้นตัวเดียว และตัวแปรตามหลายตัว
ตัวอย่าง -ผลกระทบของการผ่าตัดทำหมันชายต่อการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ และพฤติกรรมทางเพศ

3. ตัวแปรต้นหลายตัว และตัวแปรตามตัวเดียว
ตัวอย่าง -ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการตายของทารก
-ประสิทธิผลของการให้สุขศึกษาในงานสาธารณสุขมูลฐานโดยใช้หอกระจายข่าว 
เปรียบเทียบกับที่อ่านหนังสือพิมพ์ประจำหมู่บ้าน

4. ตัวแปรต้นหลายตัว และตัวแปรตามหลายตัว
ตัวอย่าง ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้และเจตคติของผดุงครรภ์อนามัยกับการให้คำแนะนำเรื่อง พฤติกรรมทางเพศสำหรับสตรีตั้งครรภ์และหลังคลอดบุตร

วันพุธที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เห็นนิมิต

การเห็นนิมิตเกิดจากการยึดติดกับบัญญัติ ต้องโน้มกลับมาดูใจตนนิมิตหรือญาณต่างๆ ก็จะหายไป ถ้าทำวิปัสนาถูกจะไม่เห็นนิมิตเพราะถือปรมติแทนที่จะถือสมมติ

อดทนต่อกิเลส

อดทนต่อกิเลสใดได้บ่อยๆ กิเลสนั้นจะอ่อนกำลังลงไปเอง

วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2555

iLife & iWork

iWork = Keynotes, Pages, Number ราคาประมาณ 10$ ต่อโปรแกรม iLife = iPhoto, iMovie, GarageBand ราคาประมาณ 5$ ต่อโปรแกรม -app ที่เราซื้อมาจาก iStore ถ้าลบออกจากเครื่อง แล้วจะลงใหม่ จะต้องซื้ออีกรอบไหมครับ ตอบ ไม่ต้อง app store มันจะเห็นเลยว่าเราเคยซื้อแอพไหนไปแล้ว เวลาเข้าไปดูรายละเอียดแอพนั้นอีกครั้ง มันจะไม่ใช่ปุ่ม buy now แล้ว จะเปลี่ยนเป็นคำว่า install แทน.. หรือไม่ก็ไปที่แถบ purchased ก็ได้ จะมีลิสรายการทุกแอพที่เราเคยซื้อไว้ กดโหลดได้เลย แสดงว่าซื้อครั้งเดียว เอาไปลงหลายเครื่องแต่ต้องใช้ apple id ลงกี่เครื่องก็ได้แต่จะ authorize กับ itunes บน computer ได้ 5 เครื่อง ถ้าคุณมี iPod, iPad, iPhone รวมกัน 10 เครื่อง จะใช้ account เดียวกัน ก็ไม่มีปัญหา แต่จำนวนคอมพ์ที่ต่อ sync ได้สูงสุด 5 เครื่อง

วันเสาร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2555

List of Generations from Western world

  1. The Lost Generation, primarily known as the Generation of 1914 in Europe, is a term originating with Gertrude Stein to describe those who fought in World War I. The members of the lost generation were typically born between 1883 to 1900.
  2. The Greatest Generation, also known as the G.I. Generation, is the generation that includes the veterans who fought in World War II. They were born from around 1901 through 1924, coming of age during the Great Depression. Journalist Tom Brokaw dubbed this the Greatest Generation in a book of the same name.
  3. The Silent Generation born 1925 through 1945, is the generation that includes those who were too young to join the service during World War II. Many had fathers who served in World War I. Generally recognized as the children of the Great Depression, this event during their formative years had a profound impact on them.
  4. The Baby Boom Generation is the generation that was born following World War II, from 1946 up to 1964, a time that was marked by an increase in birth rates. The baby boom has been described variously as a "shockwave" and as "the pig in the python." By the sheer force of its numbers, the boomers were a demographic bulge which remodeled society as it passed through it. In general, baby boomers are associated with a rejection or redefinition of traditional values; however, many commentators have disputed the extent of that rejection, noting the widespread continuity of values with older and younger generations. In Europe and North America boomers are widely associated with privilege, as many grew up in a time of affluence. One of the features of Boomers was that they tended to think of themselves as a special generation, very different from those that had come before them. In the 1960s, as the relatively large numbers of young people became teenagers and young adults, they, and those around them, created a very specific rhetoric around their cohort, and the change they were bringing about.
  5. Generation X (also known as the 13th Generation and the Baby Busters) is the generation generally defined as those born after the baby boom ended. The term generally includes people born during all or part of the 1960s: According to Strauss-Howe generational theory, 1961 is the starting point, though other sources, including the U.S. Census Bureau, consider it to have started in the mid-1960s. It ends in late 1970s to early 1980s, usually not later than 1981 or 1982. The term has also been used in different times and places for a number of different subcultures or countercultures since the 1950s.
  6. Generation Y, the Millennial Generation (or Millennials), Generation Next, Net Generation, Echo Boomers,describes the generation following Generation X. As there are no precise dates for when the Millennial generation starts and ends, commentators have used birth dates ranging somewhere from the mid-1970s to the early 2000s (decade). Experts differ on the start date of Generation Y. William Strauss and Neil Howe use the start year as 1982, and end years around the turn of the millennium, while others use start years that are earlier or later than 1982, and end years in the mid-1990s. One segment of this age-group has often been called the “eighties babies” generation, in reference to the fact that they were born between January 1, 1980 and December 31, 1989.
  7. Generation Z, also known as Generation I, or Internet Generation, and Generation Text, and the "Digital Natives" by Marc Prensky and is the following generation. The earliest birth is generally dated in the early 1990s.
  8. Generation AO, the Always-On Generation (or Gen AO), was first used by Elon University professor Janna Quitney Anderson in 2012 to describe people born between the early 2000s and the 2020s whose lives have been influenced since their early childhood by connectivity afforded by easy access to people and the world’s knowledge through the Internet. A survey of 1,000 experts she and Lee Rainie conducted for the Pew Research Center Internet & American Life Project found that the generation brought up from childhood with a continuous connection to each other and to information will be nimble, quick-acting multitaskers who count on the Internet as their external brain; the experts also predicted Gen AO will exhibit a thirst for instant gratification and quick fixes, a loss of patience and a lack of deep-thinking ability.--wikipedia

ธรรมาภิบาล (Good governance)

คือ การปกครอง การบริหาร การจัดการ การควบคุมดูแล กิจการต่างๆ ให้เป็นไปในครรลองธรรม นอกจากนี้ยังหมายถึงการบริหารจัดการที่ดี ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้ทั้งภาครัฐและเอกชน ธรรมที่ใช้ในการบริหารงานนี้ มีความหมายอย่างกว้าง กล่าวคือ หาได้มีความหมายเพียงหลักธรรมทางศาสนาเท่านั้น แต่รวมถึง ศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม และความถูกต้องชอบธรรมทั้งปวง ซึ่งวิญญูชนพึงมีและพึงประพฤติปฏิบัติ อาทิ ความโปร่งใสตรวจสอบได้ การปราศจากการแทรกแซงจากองค์กรภายนอก ทำให้องค์กรเจริญเติบโตก้าวหน้า

วันเสาร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2555

Focus group

A focus group is a form of qualitative research in which a group of people are asked about their perceptions, opinions, beliefs, and attitudes towards a product, service, concept, advertisement, idea, or packaging. Questions are asked in an interactive group setting where participants are free to talk with other group members.

Critical thinking

-“reasonable reflective thinking focused on deciding what to believe or do.”
-"thinking about thinking."
-"the intellectually disciplined process of actively and skillfully conceptualizing, applying, analyzing, synthesizing, and/or evaluating information gathered from, or generated by, observation, experience, reflection, reasoning, or communication, as a guide to belief and action"
-"the process of purposeful, self-regulatory judgment, which uses reasoned consideration to evidence, context, conceptualizations, methods, and criteria."

วันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2555

Wi-Fi Direct

A standard that allows Wi-Fi devices to connect to each other with no need for a wireless access point. Intel's My WiFi solution provides the Wi-Fi Direct technology on the Centrino 2 platform.[10] Wi-Fi Direct devices can connect to a notebook computer that plays the role of a Soft AP. The notebook computer can then provide Internet access to the Wi-Fi Direct-enabled devices without a Wi-Fi AP.

วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2555

กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา กยส

นศ ที่จะกู้ได้ รายได้รวมของบิดามารดารวมกันต้องไม่เกิน 20,000 บาท

ค่าตำแหน่งวิชาการของเอกชนน้อยกว่ารัฐ

เพราะไม่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐ และต้องแบ่งเป็น margin

State university

State university มหาวิทยาลัยรัฐฯ
Private university มหาวิทยาลัยเอกชน

SME

คือบริษัทที่ไม่ใช่ มหาชน คือยังไม่เข้าตลาดหลักทรัพย์

Small คือธุรกิจขนาดเล็ก ธุรกิจครัวเรือน มีคนงานน้อยกว่า 50 คน เงินลงทุนไม่เกิน 50 ล้านบาท ตามที่ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจให้นิยามไว้

Medium คือธุรกิจขนาดกลาง มีคนงานไม่เกิน 200 คน เงินลงทุนไม่เกิน 200 ล้านบาท

Large คือธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีคนงานมากกว่า 200 คนและมีเงินลงทุนมากกว่า 200 ล้านบาทขึ้นไป สองกลุ่มหลังได้รับประโยชน์จากการลดภาษี 30% เป็น 23%

มีศัตรูซ่อนอยู่ในชัยชนะ

ผู้ชนะย่อมก่อเวร ผู้แพ้ย่อมเป็นทุกข์ ผู้สงบระงับละความชนะความแพ้ได้ย่อมอยู่เป็นสุข

กรรมจำแนกตามเวลาการให้ผล

ชาตินี้
ชาติหน้า
ชาติต่อๆ ไป
ไม่ให้ผลอีก (อโหสิกรรม)

กำเนิด 4 หรือโยนิ 4

ชลาพุชะ สัตว์เกิดในครรภ์
อัณฑชะ สัตว์เกิดในไข่
สังเสทชะ สัตว์เกิดในไคล หรือของหมักหมม เช่น หนอน
โอปปาติกะ สัตว์เกิดผุดขึ้นทันใด เช่น เทวดา สัตว์นรก เปรต

โทษของ กม. อาญา

ปรับ
จำคุก
ยึดทรัพย์
กักขัง

เหตุและผลของกรรมบางประการ

ผิวพรรณทรามเพราะขี้โกรธ
ศักดาอำนาจน้อยเพราะขี้อิจฉาริษยา
เกิดในตระกูลต่ำเพราะถือตัวไม่อ่อนน้อม

คนอ่อนน้อมจะเกิดในตระกูลสูง
คนสุภาพจะพบเจอแต่คนสุภาพ

มหาชน

บริษัทมหาชนคือบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไม่ว่าจะเป็น SET หรือ mai ก็ตาม
-- "ข้อมูลรายบริษัท/หลักทรัพย" http://www.set.or.th/set/commonslookup.do?language=th&country=T

วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2555

Corresponding Author (ผู้วิจัยสำหรับการติดต่อ หรือ เจ้าของบทความชื่อแรก)

The Corresponding Author is the person who is responsible for the manuscript as it moves through the journal's submission process. This person must be registered with the Elsevier Editorial System as all correspondence pertaining to the manuscript will be sent to him/her via the system. The Corresponding Author is, by default, the author who initially uploads the manuscript into Editorial Manager. It's normally the last author (, which is a "senior author") in the title, and seldom the "first author" (first name in the title).

The Corresponding Author is the person responsible for making any edits/submitting revisions to the manuscript and is the only author connected to the manuscript who may view the progress of the manuscript as it moves from one stage to the next.
--http://support.elsevier.com/app/answers/detail/a_id/586/~/who-and-what-is-the-corresponding-author%3F

Authors อื่นๆ ใน paper คือ First author, co-authors อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://drjiw.blogspot.com/2010/05/authorship-in-research-papers.html

"This term means literally the person who handles correspondence regarding a paper, but by implication and practice, it also identifies a guarantor of the published work. We now state explicitly that the corresponding author must be a guarantor of a significant part or all of the work."
--http://www.pnas.org/content/101/29/10495.full

วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2555

house brand

ยี่ห้อสินค้าที่รัฐผลิตขึ้นเองเพื่อนช่วยลดค่าครองชีพของประชาชน

วันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2555

หลักสูตรคณิตศาสตร์ประกันภัย

อยู๋ในคณะวิทยาศาสตร์มหิดล เป็นหลักสูตรอินเตอร์ฯ ร่วมมือกับออสเตรเลีย--curadio

วันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2555

ลายเซ็นต์ที่มีผลทางกฎหมาย

1.ลายเซ็นต์จริง
ข้อความอาจให้ผู้อื่นเขียนให้ แต่ลายเซ็นต์ต้องเป็นลายเซ็นต์จริง จะเป็นลายเซ็นต์ที่สแกนส่งเมลมาแล้วพิมพ์ออกมาใช้ไม่ได้เพราะจะมีน้ำหนักอ่อน แต่ถ้าเขียนหนังสือไม่เป็นสามารถใช้ลายนิ้วมือแทนลายเซ็นต์ได้แต่ควรมีพยานเซ็นต์ด้วยสองคน หรือกรณีพิการไม่มีลายนิ้วมือสามารถใช้เครื่องหมายกากบาทหรือตราปั้มได้และต้องมีพยานเซ็นต์ตามปกติด้วยอีกสองคน ถ้าถูกบังคับให้เซ็นต์จะทำให้นิติกรรมนั้นเป็นโมฆียะทันที

2.ลายเซ็นต์ดิจิทัล
จะมีผลทางกฎหมายก็ต่อเมื่อสามารถใช้ระบุตัวตนผู้เป็นเจ้าของลายเซ็นต์ได้ และเป็นระบบลายเซ็นต์ดิจิทัลที่น่าเชื่อถือ เช่น หากมีการถูกเปลี่ยนแปลงข้อมูลของลายเซ็นต์ ขณะสร้างลายเซ็นต์ดิจิทัล ข้อมูลส่วนตัวต้องอยู่ในความควบคุมทั้งหมดของเจ้าของเท่านั้น เจ้าของจะต้องรู้ได้

ลายเซ็นต์ดิจิทัลไม่นิยมใช้กับนิติกรรมที่มีมูลค่ามาก เช่น การซื้อขายที่มีมูลค่าเกินหนึ่งล้านบาท และยังไม่สามารถใช้ในการโอนมรดก โอนอสังหาฯ และเรื่องครอบครัว เช่น การหย่า

--curadio

วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2555

สมรรถนะ(Competency)แตกต่างจากทักษะ ความรู้ ทัศนคติ และแรงจูงใจอย่างไร

สมรรถนะ (Competency) เป็นสิ่งที่ประกอบขึ้นมาจาก ความรู้ (Knowledge) ทักษะ (Skill) และเจตคติ (Attitude) จึงส่งผลให้คนทั่วไปสับสนว่า สมรรถนะ (Competency) แตกต่างจากความรู้ (Knowledge) ทักษะ (Skill) และเจตคติ/แรงจูงใจ (Attitude/Motive) อย่างไร หรือความรู้หรือทักษะที่บุคคลมีอยู่นั่นถือเป็น Competency หรือไม่ เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน สถาบัน Schoonover Associates ได้มีการศึกษาและอธิบายในเชิงเปรียบเทียบไว้ดังนี้

สมรรถนะ (Competency) VS ความรู้ (Knowledge)
ความรู้อย่างเดียวไม่ถือเป็นสมรรถนะ เว้นแต่ความรู้ในเรื่องนั้นจะนำมาประยุกต์ใช้กับงานให้ประสบผลสำเร็จจึงถือเป็นส่วนหนึ่งของสมรรถนะ
ตัวอย่าง ความรู้และความเข้าใจในความไม่แน่นอนของ “ราคา” ในตลาด ถือเป็นความรู้แต่ความสามารถในการนำความรู้และความเข้าใจในความไม่แน่นอนของ “ราคา” ในตลาดมาพัฒนารูปแบบการกำหนด”ราคา”ได้นั้น จึงจะถือเป็นสมรรถนะ

สมรรถนะ (Competency) VS ทักษะ (Skill)
ทักษะ (Skill) อย่างเดียวไม่ถือเป็นสมรรถนะ แต่ทักษะที่ก่อให้เกิดผลสำเร็จอย่างชัดเจนถือเป็นสมรรถนะ (Competency)
ตัวอย่าง ความสามารถในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ เป็นทักษะแต่ความสามารถในการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ใหม่ (Positioning) ในตลาดให้แตกต่างจากคู่แข่งถือเป็นสมรรถนะ (Competency)

สมรรถนะ (Competency)VS แรงจูงใจ/เจตคติ (Motive/Attitude)
เพียงแต่มีแรงจูงใจ/เจตคติ (Motive/Attitude) เพียงอย่างเดียวไม่ถือเป็นสมรรถนะ แต่ต้องเป็นแรงขับภายในที่ทำให้บุคคลแสดงพฤติกรรมที่ตนมุ่งหวัง ไปสู่สิ่งที่เป็นเป้าหมายของเขา
ตัวอย่าง การต้องการความสำเร็จ เป็นแรงจูงใจที่ก่อให้เกิดแนวคิดหรือทัศนคติที่ต้องการสร้างผลงานที่ดี แต่ความสามารถในการทำงานให้สำเร็จได้ตรงตามเวลาที่กำหนด ถือเป็นสมรรถนะ (Competency)

สรุปแนวคิดของ Schoonover Associates เชื่อว่า ความรู้ ทักษะ แรงจูงใจ/เจตคติ โดดๆ ไม่ใช่สมรรถนะแต่เป็นส่วนหนึ่งที่ก่อให้เกิด สมรรถนะ ซึ่งสามารถแสดงความสัมพันธ์ได้ดังภาพ

============

ทักษะ (Skill) เป็นความสามารถในการปฏิบัติงานด้วยความมุ่งมั่นจากจิตใจและร่างกายโดยความสามารถนี้จะรวมไปถึงการคิดเชิงระบบ (Analytical Thinking) ที่จะต้องคิดถึงความเป็นเหตุเป็นผลด้วย เช่น ทักษะในการเชื่อมโลหะ ซึ่งจะต้องเชื่อมอย่างไรให้โลหะติดเป็นเนื้อเดียวกันเป็นเส้นตรง สวยงาม ไม่ทำลายผิวส่วนอื่น เป็นต้น

ความรู้ (Knowledge) เป็นข้อมูลที่อยู่ในตัวบุคคลซึ่งจำเป็นต่องานที่รับผิดชอบ เช่น ความรู้ทางบัญชีที่จำเป็นต้องรู้กระบวนการลงบัญชี ตลอดจนงานอื่นๆที่จำเป็นต่อบัญชี เป็นต้น

อุปนิสัย (Trait) เป็นคุณลักษณะที่มักแสดงออกเพื่อโต้ตอบต่อสถานการณ์หนึ่งๆ เช่น การทำงานของนักบริหารบางท่านจะชอบความรวดเร็ว คิดเร็ว ทำเร็วในการทำงาน แต่บางท่านจะค่อยๆคิด ช้าแต่รอบคอบ อันเนื่องมาจากปฏิกิริยาตอบสนองต่อปัญหาหรือสถานการณ์ของแต่ละคน

แนวคิดของตนเอง (Self Concept) เป็นส่วนของค่านิยม (Value) เจตคติ (Attitude) และภาพลักษณ์ของตน (Self image) ซึ่งจะสามารถสังเกตจากพฤติกรรมที่แสดงออกมาได้ เช่น บางคนชอบที่จะโต้แย้ง มักจะแสดงออกถึงพฤติกรรมที่ก้าวร้าวเป็นต้น

แรงขับ (Motivate) เป็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในความคิดหรือความต้องการที่จะเป็นต้นเหตุของการแสดงออก เช่น บางคนชอบทำงานยากๆ เพราะรู้สึกว่าเป็นงานที่ท้าทาย ในทางตรงกันข้ามบางคนเป็นคนเฉื่อยชา จึงชอบทำงานง่ายๆ สบายๆ เป็นต้น

ดังนั้น ในส่วนที่เป็นยอดถูเขาน้ำแข็งคือ ทักษะ (Skill) และความรู้ (Knowledge) จะสามารถมองเห็นได้ชัดเจน จึงพัฒนาได้ง่าย ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้การฝึกอบรมเป็นส่วนพัฒนาสมรรถนะ (Competency) ในส่วนนี้ แต่อีกส่วนหนึ่งที่จมอยู่ใต้น้ำ คือ แนวคิดของตนเอง (Self Concept) อุปนิสัย (Trait) แรงขับ (Motivate) จะพัฒนาได้ยากกว่า และต้องสังเกตจากพฤติกรรม การแสดงออกเมื่อเผชิญกับสถานการณ์หนึ่งๆ อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นแรงขับและอุปนิสัยจะพัฒนาได้เมื่อค่อยๆผ่านการหล่อหลอมจากการดำรงชีวิต และประสบการณ์ทำงาน

--http://www.bangkokflying.com/th/knowledgeview.aspx?id=7