วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

เกร็ดความรู้การเขียนหนังสือและตำรา

เกริ่นนำ
ศาสตราจารย์ ดร.อลงกลด ท่านนำเสนอด้วยการเล่าเรื่องประสบการณ์ตรงของท่านเอง จึงฟังไม่เบื่อเลย เสียดายที่ไม่ได้ขออนุญาตท่านบันทึกเสียง ... ใครมีโอกาสเชิญท่านไป อย่าได้ลังเลครับ ไม่ผิดหวังดอก  ขอจับเอาเฉพาะประเด็นสำคัญๆ ที่ประทับใจ ดังนี้
  • ปัจจุบันท่านเป็นหนึ่งในคณะพิจารณาผลงานทางวิชาการ (กพว.) (เป็นมา ๓-๔ ปี)  ซึ่งมีหน้าที่กำหนดและแต่งตั้ง ผู้ทรงคุณวุฒิประเมินผลงานทางวิชาการ ผศ. รศ. ศ. ของคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (กพอ.) ตำรา หนังสือ หรืองานวิจัย 
  • ท่านได้รับการประเมินเป็น ผศ. รศ. และ ศ. ด้วยการประเมินรอบเดียว 
  • ปัจจุบันท่านเป็นกรรมการอ่านผลงานของ กพอ. จึงนำประสบการณ์มาเล่าให้ฟังว่า ผลงานแบบไหนจะผ่าน ผลงานแบบไหนจะไม่ผ่าน  รวมถึงเทคนิค และเคล็ดไม่ลับ ที่ "จับ" มาเล่านี้
  • ปัญหา ๓ ประการของการเขียนหนังสือหรือตำรา ที่มักพบเจอ ได้แก่
    • ขาดกำลังใจ ... เข้าใจว่าเป็นเรื่องไกลตัว กระบวนการยุ่งยาก ผ่านยาก 
    • การใช้และตีความในกฎหมายและระเบียบที่คลาดเคลื่อนไปจากสิ่งที่ควรจะเป็น
    • คิดเข้าข้างตนเอง จนไม่ตรงกับความคิดเห็นที่ควรจะเป็น (คิดไม่เหมือนผู้ทรงคุณวุฒิตรวจผลงาน)
  • ใครอยากจะเป็น "ศาสตราจารย์" ให้ยึดหลัก ๔ ประการต่อไปนี้ 
    • ทำให้วงการในศาสตร์ของตนยอมรับ 
    • ทำงานวิชาการด้านที่เลือกให้โดดเด่น (มีงานตีพิมพ์ด้านนั้นโดดเด่น)
    • ทำผลงานวิชาการด้านนั้นต่อเนื่อง สม่ำเสมอ โดยเฉพาะงานวิจัย 
    • ถ่ายทอดองค์ความรู้ของตนเองให้เป็นหนังสือหรือตำราให้ประจักษ์ 
  • ใครตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นศาสตราจารย์ ต้องฝึกตนเองให้มี AQ (Adversity Quotient) ๔ ประการ ได้แก่ 
    • ควบคุมสถานการณ์ให้ได้ เมื่อเกิดปัญหา
    • ไม่หนีปัญหา (เข้าไปแก้ไข) ... ให้มองว่า ปัญหามีไว้ให้แก้ 
    • มองว่าปัญหาทุกอย่างมีทางแก้
    • อดทนต่อปัญหาที่เกิดขึ้น 
  • และที่สำคัญ จะได้ตำแหน่งทางวิชาการ ต้องเป็นคนชอบเขียน .... เขียนไม่เป็นก็จบ ลำดับการพัฒนาการเขียนเอกสาร คือ
    • เขียนเอกสารประกอบการสอน -> ขอ ผศ.
    • พัฒนาเอกสารประกอบการสอน ไปเป็น เอกสารคำสอน  -> ขอ รศ. 
    • พัฒนาเอกสารคำสอน ไปเป็น ตำรา -> ขอ รศ. และ ศ.  
    • ห้ามเอาเอกสารคำสอน ไปเขียนเป็นหนังสือ ตั้งแต่ ๑ พ.ย. ๖๑ เป็นต้นไป (ระเบียบใหม่) 
  • ตามกฎหมาย เราสามารถ เขียนเอกสารวิชาการ วิชาเดียวได้ถึง ตำรา ขอ ศ. ได้เลย ไม่จำเป็นต้องเขียน ๒ วิชา  (แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา  ไม่มีใครทำวิชาเดียว)
  • วิธีการหาแรงกระตุ้น (แรงบันดาลใจ) ให้ตนเองเขียน 
    • เอาไว้ใช้ ขอตำแหน่ง ผศ. รศ. ศ.๑๐ และ ศ.๑๑
    • ได้เงินค่าตำแหน่ง  ฐานเงินเดือนสูงขึ้นด้วย
    • ชื่อเสียง ความน่าเชื่อถือ เกียรติยศ  (สายสะพาย) ... ชอบตรงที่ท่านบอกว่า เพื่อความภูมิใจของลูกศิษย์ 
    • ได้เผยแพร่ผลงานวิชาการของตนเอง (สร้างองค์ความรู้ใหม่)
เทคนิคการเขียน
  • ขอ ผศ. ต้องการเอกสารประกอบการสอนและงานวิจัย ... ไม่ต้องใช้หนังสือหรือตำรา
  • จะขอ รศ. ศ. ต้องเข้าใจก่อนว่า "หนังสือ" "ตำรา" แตกต่างกันอย่างไร (เรื่องนี้สำคัญมาก)  ท่านแนะไว้ดังนี้ 
    • ตำรา จะต้อง ใช้สอนในวิชา อาจใช้สอนทั้งวิชา หรือส่วนหนึ่งส่วนใดก็ได้  ผู้ยื่นขอตำแหน่งต้องเป็นผู้สอน  แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้สอนทั้งวิชาก็มีสิทธิจะเขียนตำราทั้งวิชา 
      • ต้องมีเนื้อหาครบถ้วนตามคำอธิบายรายวิชา 
      • ต้องผ่านการใช้สอนมาแล้วอย่างน้อย ๑ เทอม  โดยจะพิจารณาว่าจัดพิมพ์เมื่อใด ใช่ก่อนต้นเทอมหรือไม่ (จะดูที่คำนำ) 
      • บุคคลอื่น นิสิตนักศึกษาอื่น ที่ไม่ได้เรียนโดยตรง ก็สามารถ "อ่านรู้เรื่อง" 
      • ต้องมีดัชนีคำศัพท์ 
      • ต้องแสดงหลักฐานว่า ผ่านการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิ (มหาวิทยาลัยหรือคณะวิชา อาจแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิขึ้นมาดูแล) 
      • ต้องได้รับการเผยแพร่ เช่น 
        • พิมพ์ในโรงพิมพ์ 
        • สำนักพิมพ์   วิธีนี้ สมมติ ๓๐๐ หน้า ๕๐๐ เล่ม ๕ สี ราคาจะอยู่ที่ ๓๐๐,๐๐๐ บาท 
        • e-book  ต้นทุนอยู่ประมาณ ๑๐,๐๐๐ บาท 
        • online  ต้นทุน ๐ บาท  ทั้งนี้ต้องได้รับการตรวจสอบจากคณะกรรมการ 
      • สมมติขอแล้ว "ไม่ผ่าน" คือ "ตก" ให้รีบแก้ไข ปรับปรุง ส่งกลับมาใหม่ให้เจอกรรมการชุดเดิม ...อย่างทิ้ง 
      • ผลการประเมินตำรา ต้องผ่านเกณฑ์ ตามระดับการขอตำแหน่ง  ผศ. ต้องได้ ระดับดี รศ. ต้อง ระดับดีมาก และ ศ. ต้องได้ระดับดีเด่น 
    • หนังสือ  ไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับวิชาที่สอน  ไม่ต้องใช้ในการสอน ไม่สามารถพัฒนามาจากเอกสารคำสอนได้  รูปแบบเหมือนกันหมด  มีดัชนีเหมือนกัน  มีข้อแนะนำเพิ่มเติมดังนี้ 
      • ไม่ควรทำแบบ Book Chapter  ...  ต้องให้ครบถ้วนองค์ประกอบ 
      • หากได้รับการประเมิน "ตก" ก็ให้รีบแก้ไขเหมือนกัน 
    • ผศ. รศ. ศ. จะเน้นการประเมินผลงานวิจัยและตำราหนังสือเป็นหลัก  ส่วนเอกสารประกอบการสอนและเอกสารคำสอนนั้น เป็นการประเมินโดยใช้กรรมการภายในหน่วยงาน  กรรมการสองชุดนี้ไม่เกี่ยวข้องกัน
    • การขอ ศ. นั้น แตกต่าง จากการขอ รศ. ใน ๒ ประเด็นหลักๆ คือ 
      • การอ้างอิงของผลงานวิจัย  และ
      • การยอมรับทางวิชาการ (ในวงการ)
    • วิธีการพัฒนาจากเอกสารคำสอนไปเป็นตำรา อาจใช้เทคนิคการ "ยุบรวม" และการ "แยกบทเรียน" เช่น 
      • ในเอกสารคำสอน กำหนด บทที่ ๒ ทฤษฎีพันธุกรรมตามกฎเมนเดลและนอกกฎเมนเดล  เมื่อมาเขียนเป็นตำรา ให้แยกออกเป็น ๒ บท 
      • ในเอกสารคำสอน กำหนด บทที่ ๒ การใช้โปรแกรมในระบบปฏิบัติการดอส  เมื่อมาเขียนเป็นตำรา ให้แยกเป็น การใช้โปรแกรมในระบบปฏิบัติการดอสเบื้องต้น และ การใช้โปรแกรมในระบบปฏิบัติการดอสขั้นสูง 
      • เป็นต้น 
    • ต้องมีการนำเอางานวิจัยของตนเองและของผู้อื่น แทรกอ้างอิงหรือเป็นตัวอย้างในตำรา 
ข้อควรคำนึงในการเขียนตำรา หนังสือ

มีงานวิจัยของ ม.เกษตรฯ บอกว่า การยื่นขอตำแหน่ง รศ. นั้น ส่วนมากงานวิจัยผ่าน แต่ตกหนังสือหรือตำรา ผู้เสนอขอตำแหน่งจำนวน ๒๔๒ คน ส่วนใหญ่ไม่ผ่านเพราะตำราหรือหนังสือ 
    • ร้อยละ ๕๐ เนื้อหาไม่ต่อเนื่อง ไม่สมบูรณ์ ไม่ลึกซึ้ง และไม่ทันสมัย 
    • ร้อยละ ๓๐ ไม่มีการสอดแทรกประสบการณ์ที่เกิดจากการค้นคว้าของตนเองเข้าไปในตำรา หรือสอดแทรกน้อยเกินไป 
    • ร้อยละ ๒๐ ไม่มีการวิเคราะห์ สังเคราะห์ หรือเนื้อเรื่องไม่มีความสำพันธ์กัน และอ้างอิงไม่ถูกต้อง  
โดยสรุป ท่านเน้นว่า 
  • สาเหตุที่ทำให้ "ตก"การประเมินตำราหรือหนังสือ ที่มักพบคือ 
    • เขียนไม่ครบถ้วนสมบูรณ์  (ร้อยละ ๕๐ ของผลงานที่เคยอ่านมา) ต้องเขียนให้เต็มวิชา   มักไปยึดติดกับคำอธิบายรายวิชา   ที่ถูกต้อง ต้องไปเอาหนังสือตำราในศาสตร์นั้นๆ มาพิจารณาดู 
    • จำนวนบทไม่มีการกำหนดตายตัว   ๑๐ บท น่าจะกำลังดี  ๕ บทแรกให้เป็นทฤษฎี ๕ บทหลังให้เป็นการประยุกต์ใช้ทฤษฎี  ซึ่งเป็นหลักการแบบนี้คล้ายกันทุกศาสตร์  
    • ควรจะมีจำนวนหน้ามากกว่า ๒๐๐ หน้า  ควรจะเป็น ๒๕๐-๓๐๐ หน้า ... ตำราที่ท่านยื่น ๖๐๐ กว่าหน้า ....ฮา
    • ถ้าเป็นไปได้ ให้เพิ่มอีก ๒ บท โดยเฉพาะสายวิทยาศาสตร์  คือ 
      • แลป หรือ เทคนิคการปฏิบัติ  
      • เรื่องน่าสนใจ  เรื่องเด่นๆ  หรือ การประยุกต์ใช้ที่ใหม่ งานวิจัยใหม่ๆ  ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะงานวิจัยของตนเองหรือจากงานวิจัยอื่นๆ 
    • อย่าเขียนตำราคู่มือปฏิบัติการ หรือ ความรู้ขั้นพื้นฐานมากเกินไป เพราะมักจะไม่ผ่าน เช่น
      • General Biology
      • Principle of Computer 
      • etc. 
  • ต้องเลือกหนังสือที่ตนเอง ทั้งรักและสามารถต่อยอดได้ ไม่ใช่รักอย่างเดียว  ตอนทำ ผศ. ให้กำหนดสาขาไว้กว้างๆ ก่อน 
  • งานวิจัยและตำราไม่สอดคล้องกัน ทำให้ไม่สามารถนำเอางานวิจัยมาแทรกเป็นตัวอย่างในตำราของตนเอง จึงตก  จะให้ดี คือให้วางแผนล่วงหน้าเลยว่า จะเขียนตำราอะไร จะต้องทำวิจัยอะไร งานวิจัยแต่ละชิ้นจะไปเขียนในตำราตรงไหน
การวางแผนในการขอตำแหน่งวิชาการ

ต่อไปนี้ เป็นคำแนะนำที่ท่านบอกไว้เป็นแนวทางสำหรับผู้มาใหม่ 
  • เริ่มที่ ผศ. (ระดับ ซี ๘) ก่อน ดังนี้ 
    • เขียนเอกสารประกอบการสอนในรายวิชาพื้นฐาน สัก ๘ บท ๒๐๐ หน้า เขียนให้เต็มวิชา 
    • ใช้งานวิจัยในการขอประเมิน ๒ เรื่อง  ควรเป็น TCI ฐาน ๑ หรือ ฐาน ๒ โดยต้องเป็นเจ้าของร้อยละ ๕๐ หรือเป็น Corresponding Author (ผู้นิพนธ์หลัก)  ข้อแนะนำ 
      • หากผลงานนั้น มีชื่อมากกว่า ๒ ชื่อ จะใช้ได้ เพียง ๑ คน ... ใช้ได้ครั้งเดียว 
      • หากผลงานนั้น มีชื่อ ๕ คน ชื่อสุดท้ายเป็นผู้นิพนธ์หลัก  คนอื่นก็ใช้ไม่ได้ 
  • ในระดับขอ รศ. (ระดับ ๙)
    • เขียนเป็นเอกสารคำสอน วิชาเฉพาะด้าน (เล่มที่ ๑)  ประมาณ ๑๐ บท ๒๕๐ หน้า 
    • งานวิจัยอย่างน้อย ๓ เรื่อง ในฐานข้อมูล SCOPUS หรือ ISI หรือ อย่างน้อยต้อง TCI ฐาน ๑  และต้องเป็นเจ้าของ ร้อยละ ๕๐ หรือ เป็นผู้นิพนธ์หลัก 
    • ตำรา  (ที่พัฒนามาจากเอกสารคำสอน) ประมาณ ๑๒ บท ๓๐๐ หน้า 
    • ในแต่ละบทต้องเริ่มด้วยคำนำ และมีบทสรุป 
  • ในระดับขอ ศ. (ระดับ ๑๐)
    • เขียนเอกสารคำสอน วิชาเฉพาะด้าน (เล่มที่ ๒) 
    • งานวิจัยอย่างน้อย ๕ เรื่อง ในฐานข้อมูล SCOPUS หรือ ISI หรือ อย่างน้อยต้อง TCI ฐาน ๑  และต้องเป็นเจ้าของ ร้อยละ ๕๐ หรือ เป็นผู้นิพนธ์หลัก  
    • เขียนตำราที่พัฒนาจากเอกสารคำสอนเล่มที่ ๒ และเขียนหนังสือหรือตำราเพิ่มอีก ๑ เล่ม  (รวมเป็นต้องมีเอกสารคำสอน ๑ เล่ม ตำรา ๑ เล่ม และหนังสือหรือตำราอีก ๑ เล่ม รวมทั้งหมด ๓ เล่ม)
    • ให้ตั้งใจว่า "ในชีวิตนี้ขอให้ได้ส่งสักครั้ง ผ่านไม่ผ่าน ไม่ได้คาดหวังอะไร แต่จะทำให้ดีที่สุด ณ ปัจจุบัน"  (ตอนที่ท่านยื่น ศ. ท่านใช้ วุฒิปริญญาโท ยื่น) 
กฎ ๓ ข้อ ของการเขียนตำราหรือหนังสือ
  • กฎข้อที่ ๑ ต้องรวบรวมหนังสือต้นแบบที่จะนำมาเขียนทั้งภาษาไทยและภาษาสากล แล้วพิจารณากำหนดเนื้อหาให้ครอบคลุม ครบถ้วน สมบูรณ์ และวางโครงเรื่องให้ต่อเนื่อง 
  • กฎข้อที่ ๒ ในแต่ละบทให้กำหนดหัวข้อย่อยในแต่ละบท  ดังนี้ 
    • เริ่มด้วย คำนำ
    • จบด้วย บทสรุป 
    • สองบทสุดท้าย ควรจะเป็นเรื่องของการประยุกต์ที่เข้ากับงานวิจัยของผู้เขียน หรืองานวิจัยเด่นๆ และทันสมัย 
    • ถ้าจะให้ดีควรมีคำถามท้ายบท  (และเฉลยไว้ท้ายเล่ม)
  • กฎข้อที่ ๓ ต้องเขียนอย่างต่อเนื่อง โดย 
    • ไม่จำเป็นต้องเรียงบท บทไหนก่อนก็ได้ เขียนต่อจิ๊กซอไปเรื่อยๆ 
    • เวลาเช้ามืด จะมีพลังความสดชื่น ทำต่อเนื่อง ๑ เดือนจะเห็นความก้าวหน้า เกิดกำลังใจเอง 
    • สามารถทำงานอื่นๆ หลายอย่างพร้อมกันได้กับการเขียน แต่ต้องต่อเนื่อง 
เทคนิคเคล็ด(ไม่ลับ) เพิ่มเติม
  • คำศัพท์ สำคัญมาก  ให้ยึดศัพท์ตามราชบัณฑิตกำหนด หรือทับศัพท์ก็ได้ เช่น 
    • Software  ศัพท์ราชบัณฑิตบัญญัติคือ ชุดคำสั่ง  (ไม่ใช่ ละมุนภัณฑ์)  เขียนทับศัพท์คือ ซอร์ฟแวร์ 
    • Join Stick ศัพท์บัญญัติคือ ก้านควบคุม (ไม่ใช่ แท่งหรรษา) หรือเขียนทับศัพท์คือ จอยสติ๊ก
    • ฯลฯ
  • การเขียนทับศัพท์ ต้องเขียน "ภาษาพูด" หรือ เขียนเรียนเสียง ไม่ใช่เขียนภาษาอ่าน  เช่น 
    • Michael  ถ้าเป็นชื่อผู้ชาย จะเป็น ไมเคิล  ถ้าเป็นผู้หญิงเป็น มิเชล แต่ถ้าเป็นคนรัสเซีย ต้องเขียน มิกคาอิล หรือถ้าเป็นคนสวิส ต้องเป็น มิกาเอล 
    • ฯลฯ 
  • การเขียนทับศัพท์ ให้เขียนวงเล็บภาษาต่างประเทศ เพียงครั้งแรก ครั้งเดียวเท่านั้น ต่อไปให้ใช้คำภาษาไทย 
  • ภาษาอังกฤษในวงเล็บต้องตัวพิมพ์เล็กเสมอ ยกเว้นคำเฉพาะ เช่น ชื่อคน ชื่อสถานที่ ฯลฯ เท่านั้น 
  • ภาษาในภาพทุกภาพ ต้องเป็น ภาษาไทย  โดยอาจใช้คำว่า "ดัดแปลงจาก..... " 
  • ทุกภาพต้องชัดเจน ไม่เบลอ 
  • ต้องไม่ก๊อปปี้เพลส เด็ดขาด  ต้องใช้การเรียบเรียง  
  • ออกแบบปกให้สวยงาม

ต้นฉบับที่มา https://www.gotoknow.org/posts/655985