ในการแผ่เมตตาให้ศัตรูคู่เวรนั้น อาจมีอุปสรรคมาก ยากที่จะทำใจให้ละมุนละไมได้ พอนึกถึงคนเช่นนั้น ความเคียดแค้นชิงชังจะเกิดขึ้นเสียก่อน ถ้าเป็นดังนั้น พึงปฏิบัติดังนี้ คือ
1. ระลึกถึงเนืองๆ ซึ่งพระโอวาทของพระศาสดาที่ตรัสถึงโทษของความโกรธและความพยาบาท ถ้ายังไม่หายพึงปฏิบัติในข้อ 2
2. พึงระลึกถึงพระจริยาของพระศาสดาทั้งในอดีตและปัจจุบันที่ทรงอดทน อดกลั้น ถ้ายังไม่หายพึงทำตามข้อ 3
3. พึงระลึกถึงความสัมพันธ์กันในอดีตระหว่างที่ท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏว่า อาจเคยเป็นมารดาบิดาเป็นต้นกันมา ถ้ายังไม่หายโกรธเกลียดพึงปฏิบัติตามข้อ 4
4. พึงระลึกถึงอานิสงส์แห่งเมตตา 11 ประการที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ ถ้ายังไม่หายพึงปฏิบัติตามข้อ 5
5. แยกธาตุ เช่น เราโกรธเกลียดอะไรเขา คนทุกคนเป็นประมวลแห่งดิน น้ำ ไฟ ลม เราเกลียดอะไร เกลียดดินหรือน้ำ ไฟหรือลม เป็นต้น ถ้ายังไม่หายพึงปฏิบัติตามข้อ 6
6. พึงให้ของแก่เขา หรือรับของจากเขา ก็ทำให้จิตใจอ่อนโยนลงได้
เมื่อใจสงบลงแล้ว พึงแผ่เมตตาให้มีขอบเขตกว้างขวางออกไป คือทำใจให้สม่ำเสมอในคนทุกจำพวก คือตัวเราเอง คนที่เรารัก คนที่เฉยๆ และคนที่เป็นศัตรูคู่เวรกัน
ท่านเรียกเมตตาชนิดนี้ว่า เมตตาสีมสัมเภท แปลว่า ทำลายแดน ไม่มีเขตแดน มีเมตตาเสมอกันในคนทั้งปวง จิตอย่างนี้เป็นจิตที่ไม่มีเขตแดน มีเมตตาเสมอกันในคนทั้งปวง จิตอย่างนี้เป็นจิตที่มีความสุขอย่างยิ่ง
อานิสงส์ของเมตตา 11 ประการ
1. หลับเป็นสุข
2. ตื่นเป็นสุข
3. ไม่ฝันร้าย
4. เป็นที่รักของมนุษย์
5. เป็นที่รักของอมนุษย์
6. เทวดาทั้งหลายย่อมรักษา
7. ไฟก็ตาม ยาพิษก็ตาม ศัสตราอาวุธก็ตาม จะไม่กล้ำกราย จะไม่ทำร้าย
8. ผู้มีเมตตาจิตย่อมเป็นสมาธิได้เร็ว
9. ผู้มีเมตตาย่อมมีสีหน้าผ่องใส
10. ไม่หลงตาย (ทำกาลกิริยา=ตาย)
11. ถ้าไม่ได้บรรลุธรรมที่สูงขึ้นไป ก็จะได้ไปสู่พรหมโลก