วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

Abstract tense

  • Any statements of general fact should be written using the present tense.
  • Any discussion about prior research should be explained using the past tense.
  • If the subject of your sentence is your study or the article you are writing (e.g. “Our study demonstrates…,” or “Here, we show…”), then you should use the present tense.
  • If you are stating a conclusion or an interpretation, use the present tense.
  • If the subject of your sentence is an actual result or observation (e.g. “Mice in Group B developed…”), you would use the past tense.

  • https://wordvice.com/which-tense-should-be-used-in-abstracts-past-or-present/

    วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

    Multiprogramming, Multiprocessing, Multitasking, and Multithreading


    • Multiprogramming คือมีหลายโปรแกรมในหน่วยความจำหลักพร้อมๆกัน
    • Multiprocessing คือการใช้หลาย CPU ช่วยกันประมวลผล
    • Multitasking คือการใช้ context switching ระหว่าง tasks
    • Multithreading คือการมีหลาย threads 
    อ้างอิง https://gabrieletolomei.wordpress.com/miscellanea/operating-systems/multiprogramming-multiprocessing-multitasking-multithreading/

    วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

    เกร็ดความรู้การเขียนหนังสือและตำรา

    เกริ่นนำ
    ศาสตราจารย์ ดร.อลงกลด ท่านนำเสนอด้วยการเล่าเรื่องประสบการณ์ตรงของท่านเอง จึงฟังไม่เบื่อเลย เสียดายที่ไม่ได้ขออนุญาตท่านบันทึกเสียง ... ใครมีโอกาสเชิญท่านไป อย่าได้ลังเลครับ ไม่ผิดหวังดอก  ขอจับเอาเฉพาะประเด็นสำคัญๆ ที่ประทับใจ ดังนี้
    • ปัจจุบันท่านเป็นหนึ่งในคณะพิจารณาผลงานทางวิชาการ (กพว.) (เป็นมา ๓-๔ ปี)  ซึ่งมีหน้าที่กำหนดและแต่งตั้ง ผู้ทรงคุณวุฒิประเมินผลงานทางวิชาการ ผศ. รศ. ศ. ของคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (กพอ.) ตำรา หนังสือ หรืองานวิจัย 
    • ท่านได้รับการประเมินเป็น ผศ. รศ. และ ศ. ด้วยการประเมินรอบเดียว 
    • ปัจจุบันท่านเป็นกรรมการอ่านผลงานของ กพอ. จึงนำประสบการณ์มาเล่าให้ฟังว่า ผลงานแบบไหนจะผ่าน ผลงานแบบไหนจะไม่ผ่าน  รวมถึงเทคนิค และเคล็ดไม่ลับ ที่ "จับ" มาเล่านี้
    • ปัญหา ๓ ประการของการเขียนหนังสือหรือตำรา ที่มักพบเจอ ได้แก่
      • ขาดกำลังใจ ... เข้าใจว่าเป็นเรื่องไกลตัว กระบวนการยุ่งยาก ผ่านยาก 
      • การใช้และตีความในกฎหมายและระเบียบที่คลาดเคลื่อนไปจากสิ่งที่ควรจะเป็น
      • คิดเข้าข้างตนเอง จนไม่ตรงกับความคิดเห็นที่ควรจะเป็น (คิดไม่เหมือนผู้ทรงคุณวุฒิตรวจผลงาน)
    • ใครอยากจะเป็น "ศาสตราจารย์" ให้ยึดหลัก ๔ ประการต่อไปนี้ 
      • ทำให้วงการในศาสตร์ของตนยอมรับ 
      • ทำงานวิชาการด้านที่เลือกให้โดดเด่น (มีงานตีพิมพ์ด้านนั้นโดดเด่น)
      • ทำผลงานวิชาการด้านนั้นต่อเนื่อง สม่ำเสมอ โดยเฉพาะงานวิจัย 
      • ถ่ายทอดองค์ความรู้ของตนเองให้เป็นหนังสือหรือตำราให้ประจักษ์ 
    • ใครตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นศาสตราจารย์ ต้องฝึกตนเองให้มี AQ (Adversity Quotient) ๔ ประการ ได้แก่ 
      • ควบคุมสถานการณ์ให้ได้ เมื่อเกิดปัญหา
      • ไม่หนีปัญหา (เข้าไปแก้ไข) ... ให้มองว่า ปัญหามีไว้ให้แก้ 
      • มองว่าปัญหาทุกอย่างมีทางแก้
      • อดทนต่อปัญหาที่เกิดขึ้น 
    • และที่สำคัญ จะได้ตำแหน่งทางวิชาการ ต้องเป็นคนชอบเขียน .... เขียนไม่เป็นก็จบ ลำดับการพัฒนาการเขียนเอกสาร คือ
      • เขียนเอกสารประกอบการสอน -> ขอ ผศ.
      • พัฒนาเอกสารประกอบการสอน ไปเป็น เอกสารคำสอน  -> ขอ รศ. 
      • พัฒนาเอกสารคำสอน ไปเป็น ตำรา -> ขอ รศ. และ ศ.  
      • ห้ามเอาเอกสารคำสอน ไปเขียนเป็นหนังสือ ตั้งแต่ ๑ พ.ย. ๖๑ เป็นต้นไป (ระเบียบใหม่) 
    • ตามกฎหมาย เราสามารถ เขียนเอกสารวิชาการ วิชาเดียวได้ถึง ตำรา ขอ ศ. ได้เลย ไม่จำเป็นต้องเขียน ๒ วิชา  (แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา  ไม่มีใครทำวิชาเดียว)
    • วิธีการหาแรงกระตุ้น (แรงบันดาลใจ) ให้ตนเองเขียน 
      • เอาไว้ใช้ ขอตำแหน่ง ผศ. รศ. ศ.๑๐ และ ศ.๑๑
      • ได้เงินค่าตำแหน่ง  ฐานเงินเดือนสูงขึ้นด้วย
      • ชื่อเสียง ความน่าเชื่อถือ เกียรติยศ  (สายสะพาย) ... ชอบตรงที่ท่านบอกว่า เพื่อความภูมิใจของลูกศิษย์ 
      • ได้เผยแพร่ผลงานวิชาการของตนเอง (สร้างองค์ความรู้ใหม่)
    เทคนิคการเขียน
    • ขอ ผศ. ต้องการเอกสารประกอบการสอนและงานวิจัย ... ไม่ต้องใช้หนังสือหรือตำรา
    • จะขอ รศ. ศ. ต้องเข้าใจก่อนว่า "หนังสือ" "ตำรา" แตกต่างกันอย่างไร (เรื่องนี้สำคัญมาก)  ท่านแนะไว้ดังนี้ 
      • ตำรา จะต้อง ใช้สอนในวิชา อาจใช้สอนทั้งวิชา หรือส่วนหนึ่งส่วนใดก็ได้  ผู้ยื่นขอตำแหน่งต้องเป็นผู้สอน  แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้สอนทั้งวิชาก็มีสิทธิจะเขียนตำราทั้งวิชา 
        • ต้องมีเนื้อหาครบถ้วนตามคำอธิบายรายวิชา 
        • ต้องผ่านการใช้สอนมาแล้วอย่างน้อย ๑ เทอม  โดยจะพิจารณาว่าจัดพิมพ์เมื่อใด ใช่ก่อนต้นเทอมหรือไม่ (จะดูที่คำนำ) 
        • บุคคลอื่น นิสิตนักศึกษาอื่น ที่ไม่ได้เรียนโดยตรง ก็สามารถ "อ่านรู้เรื่อง" 
        • ต้องมีดัชนีคำศัพท์ 
        • ต้องแสดงหลักฐานว่า ผ่านการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิ (มหาวิทยาลัยหรือคณะวิชา อาจแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิขึ้นมาดูแล) 
        • ต้องได้รับการเผยแพร่ เช่น 
          • พิมพ์ในโรงพิมพ์ 
          • สำนักพิมพ์   วิธีนี้ สมมติ ๓๐๐ หน้า ๕๐๐ เล่ม ๕ สี ราคาจะอยู่ที่ ๓๐๐,๐๐๐ บาท 
          • e-book  ต้นทุนอยู่ประมาณ ๑๐,๐๐๐ บาท 
          • online  ต้นทุน ๐ บาท  ทั้งนี้ต้องได้รับการตรวจสอบจากคณะกรรมการ 
        • สมมติขอแล้ว "ไม่ผ่าน" คือ "ตก" ให้รีบแก้ไข ปรับปรุง ส่งกลับมาใหม่ให้เจอกรรมการชุดเดิม ...อย่างทิ้ง 
        • ผลการประเมินตำรา ต้องผ่านเกณฑ์ ตามระดับการขอตำแหน่ง  ผศ. ต้องได้ ระดับดี รศ. ต้อง ระดับดีมาก และ ศ. ต้องได้ระดับดีเด่น 
      • หนังสือ  ไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับวิชาที่สอน  ไม่ต้องใช้ในการสอน ไม่สามารถพัฒนามาจากเอกสารคำสอนได้  รูปแบบเหมือนกันหมด  มีดัชนีเหมือนกัน  มีข้อแนะนำเพิ่มเติมดังนี้ 
        • ไม่ควรทำแบบ Book Chapter  ...  ต้องให้ครบถ้วนองค์ประกอบ 
        • หากได้รับการประเมิน "ตก" ก็ให้รีบแก้ไขเหมือนกัน 
      • ผศ. รศ. ศ. จะเน้นการประเมินผลงานวิจัยและตำราหนังสือเป็นหลัก  ส่วนเอกสารประกอบการสอนและเอกสารคำสอนนั้น เป็นการประเมินโดยใช้กรรมการภายในหน่วยงาน  กรรมการสองชุดนี้ไม่เกี่ยวข้องกัน
      • การขอ ศ. นั้น แตกต่าง จากการขอ รศ. ใน ๒ ประเด็นหลักๆ คือ 
        • การอ้างอิงของผลงานวิจัย  และ
        • การยอมรับทางวิชาการ (ในวงการ)
      • วิธีการพัฒนาจากเอกสารคำสอนไปเป็นตำรา อาจใช้เทคนิคการ "ยุบรวม" และการ "แยกบทเรียน" เช่น 
        • ในเอกสารคำสอน กำหนด บทที่ ๒ ทฤษฎีพันธุกรรมตามกฎเมนเดลและนอกกฎเมนเดล  เมื่อมาเขียนเป็นตำรา ให้แยกออกเป็น ๒ บท 
        • ในเอกสารคำสอน กำหนด บทที่ ๒ การใช้โปรแกรมในระบบปฏิบัติการดอส  เมื่อมาเขียนเป็นตำรา ให้แยกเป็น การใช้โปรแกรมในระบบปฏิบัติการดอสเบื้องต้น และ การใช้โปรแกรมในระบบปฏิบัติการดอสขั้นสูง 
        • เป็นต้น 
      • ต้องมีการนำเอางานวิจัยของตนเองและของผู้อื่น แทรกอ้างอิงหรือเป็นตัวอย้างในตำรา 
    ข้อควรคำนึงในการเขียนตำรา หนังสือ

    มีงานวิจัยของ ม.เกษตรฯ บอกว่า การยื่นขอตำแหน่ง รศ. นั้น ส่วนมากงานวิจัยผ่าน แต่ตกหนังสือหรือตำรา ผู้เสนอขอตำแหน่งจำนวน ๒๔๒ คน ส่วนใหญ่ไม่ผ่านเพราะตำราหรือหนังสือ 
      • ร้อยละ ๕๐ เนื้อหาไม่ต่อเนื่อง ไม่สมบูรณ์ ไม่ลึกซึ้ง และไม่ทันสมัย 
      • ร้อยละ ๓๐ ไม่มีการสอดแทรกประสบการณ์ที่เกิดจากการค้นคว้าของตนเองเข้าไปในตำรา หรือสอดแทรกน้อยเกินไป 
      • ร้อยละ ๒๐ ไม่มีการวิเคราะห์ สังเคราะห์ หรือเนื้อเรื่องไม่มีความสำพันธ์กัน และอ้างอิงไม่ถูกต้อง  
    โดยสรุป ท่านเน้นว่า 
    • สาเหตุที่ทำให้ "ตก"การประเมินตำราหรือหนังสือ ที่มักพบคือ 
      • เขียนไม่ครบถ้วนสมบูรณ์  (ร้อยละ ๕๐ ของผลงานที่เคยอ่านมา) ต้องเขียนให้เต็มวิชา   มักไปยึดติดกับคำอธิบายรายวิชา   ที่ถูกต้อง ต้องไปเอาหนังสือตำราในศาสตร์นั้นๆ มาพิจารณาดู 
      • จำนวนบทไม่มีการกำหนดตายตัว   ๑๐ บท น่าจะกำลังดี  ๕ บทแรกให้เป็นทฤษฎี ๕ บทหลังให้เป็นการประยุกต์ใช้ทฤษฎี  ซึ่งเป็นหลักการแบบนี้คล้ายกันทุกศาสตร์  
      • ควรจะมีจำนวนหน้ามากกว่า ๒๐๐ หน้า  ควรจะเป็น ๒๕๐-๓๐๐ หน้า ... ตำราที่ท่านยื่น ๖๐๐ กว่าหน้า ....ฮา
      • ถ้าเป็นไปได้ ให้เพิ่มอีก ๒ บท โดยเฉพาะสายวิทยาศาสตร์  คือ 
        • แลป หรือ เทคนิคการปฏิบัติ  
        • เรื่องน่าสนใจ  เรื่องเด่นๆ  หรือ การประยุกต์ใช้ที่ใหม่ งานวิจัยใหม่ๆ  ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะงานวิจัยของตนเองหรือจากงานวิจัยอื่นๆ 
      • อย่าเขียนตำราคู่มือปฏิบัติการ หรือ ความรู้ขั้นพื้นฐานมากเกินไป เพราะมักจะไม่ผ่าน เช่น
        • General Biology
        • Principle of Computer 
        • etc. 
    • ต้องเลือกหนังสือที่ตนเอง ทั้งรักและสามารถต่อยอดได้ ไม่ใช่รักอย่างเดียว  ตอนทำ ผศ. ให้กำหนดสาขาไว้กว้างๆ ก่อน 
    • งานวิจัยและตำราไม่สอดคล้องกัน ทำให้ไม่สามารถนำเอางานวิจัยมาแทรกเป็นตัวอย่างในตำราของตนเอง จึงตก  จะให้ดี คือให้วางแผนล่วงหน้าเลยว่า จะเขียนตำราอะไร จะต้องทำวิจัยอะไร งานวิจัยแต่ละชิ้นจะไปเขียนในตำราตรงไหน
    การวางแผนในการขอตำแหน่งวิชาการ

    ต่อไปนี้ เป็นคำแนะนำที่ท่านบอกไว้เป็นแนวทางสำหรับผู้มาใหม่ 
    • เริ่มที่ ผศ. (ระดับ ซี ๘) ก่อน ดังนี้ 
      • เขียนเอกสารประกอบการสอนในรายวิชาพื้นฐาน สัก ๘ บท ๒๐๐ หน้า เขียนให้เต็มวิชา 
      • ใช้งานวิจัยในการขอประเมิน ๒ เรื่อง  ควรเป็น TCI ฐาน ๑ หรือ ฐาน ๒ โดยต้องเป็นเจ้าของร้อยละ ๕๐ หรือเป็น Corresponding Author (ผู้นิพนธ์หลัก)  ข้อแนะนำ 
        • หากผลงานนั้น มีชื่อมากกว่า ๒ ชื่อ จะใช้ได้ เพียง ๑ คน ... ใช้ได้ครั้งเดียว 
        • หากผลงานนั้น มีชื่อ ๕ คน ชื่อสุดท้ายเป็นผู้นิพนธ์หลัก  คนอื่นก็ใช้ไม่ได้ 
    • ในระดับขอ รศ. (ระดับ ๙)
      • เขียนเป็นเอกสารคำสอน วิชาเฉพาะด้าน (เล่มที่ ๑)  ประมาณ ๑๐ บท ๒๕๐ หน้า 
      • งานวิจัยอย่างน้อย ๓ เรื่อง ในฐานข้อมูล SCOPUS หรือ ISI หรือ อย่างน้อยต้อง TCI ฐาน ๑  และต้องเป็นเจ้าของ ร้อยละ ๕๐ หรือ เป็นผู้นิพนธ์หลัก 
      • ตำรา  (ที่พัฒนามาจากเอกสารคำสอน) ประมาณ ๑๒ บท ๓๐๐ หน้า 
      • ในแต่ละบทต้องเริ่มด้วยคำนำ และมีบทสรุป 
    • ในระดับขอ ศ. (ระดับ ๑๐)
      • เขียนเอกสารคำสอน วิชาเฉพาะด้าน (เล่มที่ ๒) 
      • งานวิจัยอย่างน้อย ๕ เรื่อง ในฐานข้อมูล SCOPUS หรือ ISI หรือ อย่างน้อยต้อง TCI ฐาน ๑  และต้องเป็นเจ้าของ ร้อยละ ๕๐ หรือ เป็นผู้นิพนธ์หลัก  
      • เขียนตำราที่พัฒนาจากเอกสารคำสอนเล่มที่ ๒ และเขียนหนังสือหรือตำราเพิ่มอีก ๑ เล่ม  (รวมเป็นต้องมีเอกสารคำสอน ๑ เล่ม ตำรา ๑ เล่ม และหนังสือหรือตำราอีก ๑ เล่ม รวมทั้งหมด ๓ เล่ม)
      • ให้ตั้งใจว่า "ในชีวิตนี้ขอให้ได้ส่งสักครั้ง ผ่านไม่ผ่าน ไม่ได้คาดหวังอะไร แต่จะทำให้ดีที่สุด ณ ปัจจุบัน"  (ตอนที่ท่านยื่น ศ. ท่านใช้ วุฒิปริญญาโท ยื่น) 
    กฎ ๓ ข้อ ของการเขียนตำราหรือหนังสือ
    • กฎข้อที่ ๑ ต้องรวบรวมหนังสือต้นแบบที่จะนำมาเขียนทั้งภาษาไทยและภาษาสากล แล้วพิจารณากำหนดเนื้อหาให้ครอบคลุม ครบถ้วน สมบูรณ์ และวางโครงเรื่องให้ต่อเนื่อง 
    • กฎข้อที่ ๒ ในแต่ละบทให้กำหนดหัวข้อย่อยในแต่ละบท  ดังนี้ 
      • เริ่มด้วย คำนำ
      • จบด้วย บทสรุป 
      • สองบทสุดท้าย ควรจะเป็นเรื่องของการประยุกต์ที่เข้ากับงานวิจัยของผู้เขียน หรืองานวิจัยเด่นๆ และทันสมัย 
      • ถ้าจะให้ดีควรมีคำถามท้ายบท  (และเฉลยไว้ท้ายเล่ม)
    • กฎข้อที่ ๓ ต้องเขียนอย่างต่อเนื่อง โดย 
      • ไม่จำเป็นต้องเรียงบท บทไหนก่อนก็ได้ เขียนต่อจิ๊กซอไปเรื่อยๆ 
      • เวลาเช้ามืด จะมีพลังความสดชื่น ทำต่อเนื่อง ๑ เดือนจะเห็นความก้าวหน้า เกิดกำลังใจเอง 
      • สามารถทำงานอื่นๆ หลายอย่างพร้อมกันได้กับการเขียน แต่ต้องต่อเนื่อง 
    เทคนิคเคล็ด(ไม่ลับ) เพิ่มเติม
    • คำศัพท์ สำคัญมาก  ให้ยึดศัพท์ตามราชบัณฑิตกำหนด หรือทับศัพท์ก็ได้ เช่น 
      • Software  ศัพท์ราชบัณฑิตบัญญัติคือ ชุดคำสั่ง  (ไม่ใช่ ละมุนภัณฑ์)  เขียนทับศัพท์คือ ซอร์ฟแวร์ 
      • Join Stick ศัพท์บัญญัติคือ ก้านควบคุม (ไม่ใช่ แท่งหรรษา) หรือเขียนทับศัพท์คือ จอยสติ๊ก
      • ฯลฯ
    • การเขียนทับศัพท์ ต้องเขียน "ภาษาพูด" หรือ เขียนเรียนเสียง ไม่ใช่เขียนภาษาอ่าน  เช่น 
      • Michael  ถ้าเป็นชื่อผู้ชาย จะเป็น ไมเคิล  ถ้าเป็นผู้หญิงเป็น มิเชล แต่ถ้าเป็นคนรัสเซีย ต้องเขียน มิกคาอิล หรือถ้าเป็นคนสวิส ต้องเป็น มิกาเอล 
      • ฯลฯ 
    • การเขียนทับศัพท์ ให้เขียนวงเล็บภาษาต่างประเทศ เพียงครั้งแรก ครั้งเดียวเท่านั้น ต่อไปให้ใช้คำภาษาไทย 
    • ภาษาอังกฤษในวงเล็บต้องตัวพิมพ์เล็กเสมอ ยกเว้นคำเฉพาะ เช่น ชื่อคน ชื่อสถานที่ ฯลฯ เท่านั้น 
    • ภาษาในภาพทุกภาพ ต้องเป็น ภาษาไทย  โดยอาจใช้คำว่า "ดัดแปลงจาก..... " 
    • ทุกภาพต้องชัดเจน ไม่เบลอ 
    • ต้องไม่ก๊อปปี้เพลส เด็ดขาด  ต้องใช้การเรียบเรียง  
    • ออกแบบปกให้สวยงาม

    ต้นฉบับที่มา https://www.gotoknow.org/posts/655985

    วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

    Video conference MCU

    MCU คืออะไร
    Multipoint Control Unit (MCU)
    เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ในการจัดการระบบภาพและเสียงจากหลายแหล่งมารวมกัน เพื่อที่จะส่งไปยังอุปกรณ์ปลายทางทุกจุดหมายพร้อมกันได้
    ระบบ Asterisk สามารถที่จะทำหน้าที่ในการรวมเสียงโดยใช้งาน meetme ซึ่งเราสามารถที่จะนำไปใช้งานในการสร้างห้องประชุมทางเสียงได้ทันที หากแต่การทำงานของ meetme นั้นไม่รองรับการทำงานของระบบภาพ (video) ซึ่งระบบ asterisk นั้นจะใช้งานระบบภาพ (video-call) ได้แบบ point-to-point หรือ คุยแบบเห็นภาพใด้จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งเท่านั้น ฉะนั้นในกรณีที่เราต้องการที่รวมภาพจากหลายๆแหล่งมาใว้ในหน้าจอเดียวกันนั้น ต้องพึ่งพาอุปกรณ์ภายนอกตัวนี้ที่เรียกว่า MCU นั่นเอง
    More Informaiton on VideoConference
    อุปกรณ์ประเภท MCU นั้นส่วนใหญ่จะมาจาก brand ที่ทำระบบ VideoConference ระบบใหญ่มาทั้งสิ้น (เช่น Sony, Polycom, Tanburg) ซึ่งราคาของอุปกรณ์ MCU นั้นจัดได้ว่ามีราคาสูงมากเมื่อเทียบกับอุปกรณ์ระบบ VoIP โดยส่วนใหญ่ราคาจะขึ้นอยู่กับ จำนวน concurrent-connection ที่อุปกรณ์รับได้ หรือ function/features ที่เราต้องการเพิ่มเติม