วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2558
FPGA to ASIC
วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2558
วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2558
Service innovation
--ดร.มนู
วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2558
เดลฟาย (Delphi) VS Focus group
วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2558
นิยามของ IoT
http://www.gartner.com/it-glossary/?s=iot
http://community.comsoc.org/blogs/alanweissberger/internet-things-iot-key-messages-part-2-idc-directions-2014-market-survey-abst
ภาควิจัย จะหมายถึง the Internet of sensorized embedded systems
http://theinstitute.ieee.org/static/special-report-the-internet-of-things
http://www.internet-of-things-research.eu/about_iot.htm
ITU's IoT definition (https://www.itu.int/en/ITU-T/gsi/iot/Pages/default.aspx) :
The Internet of Things (IoT) has been defined in Recommendation ITU-T Y.2060 (06/2012) as a global infrastructure for the information society, enabling advanced services by interconnecting (physical and virtual) things based on existing and evolving interoperable information and communication technologies.
Virtual Desktop Infrastructure (VDI)
วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2558
สัญโญชน์
ภิกษุทั้งหลาย ! สังโยชน์ ๑๐ ประการเหล่านี้ มีอยู่สิบประการอย่างไรเล่า ? สิบประการ คือ :-
โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการ
อุทธัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการ.
โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการ เป็นอย่างไรเล่า ?
คือ สักกายทิฏฐิ=ความยึดถือว่ากายเป็นของตน, วิจิกิจฉา=ความลังเลสงสัย, สีลัพพตปรามาส=การเชื่อในความขลัง ความศักดิสิทธิ การบันดาล, กามฉันทะ=ความพอใจในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส, พยาบาท
เหล่านี้ คือ โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการ.
อุทธัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการ เป็นอย่างไรเล่า ?
คือ รูปราคะ, อรูปราคะ, มานะ, อุทธัจจ, อวิชชา
เหล่านี้คือ อุทธัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการ.
ภิกษุ ทั้งหลาย เหล่านี้แล สังโยชน์ ๑๐ ประการ.
คู่มือโสดาบัน หน้า ๑๒๗
(ไทย) ทสก. อํ. ๒๔/๑๖/๑๓
(บาลี) ทสก. อํ. ๒๔/๑๘/๑๓
สังโยชน์ในอริยบุคคล
[๘๖] “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ยังมีอีกข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นธรรมที่เยี่ยม คือ”
พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมในฝ่ายวิมุตติญาณของบุคคล คือ
พระผู้มีพระภาคทรงทราบบุคคล ด้วยมนสิการโดยชอบเฉพาะพระองค์ว่า…
บุคคลนั้น เป็นโสดาบัน มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เที่ยงแท้ต่อพระนิพพาน เป็นผู้มีอันจะตรัสรู้ธรรมในกาลเบื้องหน้าเพราะทำสังโยชน์ ๓ อย่างให้สิ้นไป …
บุคคลนั้น เป็นสกทาคามี (กลับมาคราวเดียว) จะมาสู่โลกนี้ อีกครั้งเดียวเท่านั้น แล้วกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ เพราะทำสังโยชน์ ๓ อย่างให้สิ้นไป และเพราะ มีราคะ โทสะ โมหะ เบาบางน้อยลง …
บุคคลนั้น เป็นโอปปาติกะอานาคามี (ไม่ต้องกลับมาอีก) จะปรินิพพานในภพนั้น เพราะทำสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ อย่างให้สิ้นไป …
บุคคลนั้น กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน เข้าถึงแล้วแลอยู่ …
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! นี้เป็นธรรมที่เยี่ยม ในฝ่ายวิมุตติญาณของบุคคลอื่น …”
…ฯ…
[๙๒] “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !
เมื่อข้าพระองค์ ถูกเขาถามอย่างนี้ ตอบอย่างนี้ จะนับว่าเป็นผู้กล่าวตามที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว แลหรือไม่ชื่อว่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาคด้วยคำไม่จริง แลหรือชื่อว่าแก้ไปตามธรรมสมควรแก่ธรรม แลหรือทั้งการโต้ตอบอันมีเหตุอย่างไรๆ มิได้มาถึงสถานะอันควรติเตียน แลหรือ ? …”
ถูกแล้ว สารีบุตร ! เมื่อเธอถูกเขาถามอย่างนี้ แก้อย่างนี้ นับว่า เป็นผู้กล่าวตามที่เรากล่าวแล้วทีเดียว ไม่ชื่อว่ากล่าวตู่เราด้วยคำไม่จริง ชื่อว่า กล่าวไปตามธรรมสมควรแก่ธรรม ทั้งการโต้ตอบ อันมีเหตุอย่างไรๆ ก็มิได้มาถึงสถานะ อันควรติเตียน …ฯ…
(ไทย) ปา. ที. ๑๑/๘๓/๘๖.
(บาลี) ปา. ที. ๑๑/๑๑๗/๘๖.
อานิสงส์ของการทรงจำคำพระศาสดาได้
อานิสงส์แห่งอานาปานสติ ๗ ประการ
จึงมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ ?
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! ในกรณีนี้ ภิกษุไปแล้วสู่ป่า หรือโคนไม้ หรือเรือนว่างก็ตาม นั่งคู้ขาเข้ามาโดยรอบ
ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า เธอนั้น มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก :
เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว,
เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกยาว;
เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าสั้น,
เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกสั้น;
เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจออก”;
เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้รำงับอยู่ หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้รำงับอยู่ หายใจออก”;
เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ หายใจออก”;
เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข หายใจออก”;
เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร หายใจออก”;
เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำจิตตสังขารให้รำงับอยู่ หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้ทำจิตตสังขารให้รำงับอยู่ หายใจออก”;
เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต หายใจออก”;
เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่ หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่ หายใจออก”;
เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำจิต
ให้ตั้งมั่นอยู่ หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้ทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่
หายใจออก”;
เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่ หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่หายใจออก”;
เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ หายใจออก”;
เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความจางคลายอยู่เป็นประจำ หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความจางคลายอยู่เป็นประจำ หายใจออก”;
เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความดับไม่เหลืออยู่เป็นประจำ หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความดับไม่เหลืออยู่เป็นประจำ หายใจออก”;
เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ หายใจออก”;
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว อย่างนี้แล
ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! เมื่ออานาปานสติ อันบุคคลเจริญแล้วกระทำให้มากแล้ว
อยู่อย่างนี้ ผลอานิสงส์ ๗ ประการ
ย่อมเป็นสิ่งที่หวังได้.
ผลอานิสงส์ ๗ ประการ เป็นอย่างไรเล่า ?
ผลอานิสงส์ ๗ ประการ คือ :-
๑. การบรรลุอรหัตตผลทันทีในปัจจุบันนี้.
๒. ถ้าไม่เช่นนั้น ย่อมบรรลุอรหัตตผลในกาลแห่งมรณะ.
๓. ถ้าไม่เช่นนั้น เพราะสิ้นโอรัมภาคิยสัญโญชน์ ๕
ย่อมเป็นอันตราปรินิพพายี (ผู้จะปรินิพพานในระหว่างอายุยังไม่ถึงกึ่ง =>ในภพที่เป็นอนาคามีแล้วเพราะละสัญโญชน์5ได้แล้ว ดูโพสต์ สังโยชน์ในอริยบุคคล 07/03/58).
๔. ถ้าไม่เช่นนั้น เพราะสิ้นโอรัมภาคิยสัญโญชน์ ๕
ย่อมเป็นอุปหัจจปรินิพพายี (ผู้จะปรินิพพานเมื่อใกล้จะสิ้นอายุ).
๕. ถ้าไม่เช่นนั้น เพราะสิ้นโอรัมภาคิยสัญโญชน์ ๕
ย่อมเป็นอสังขารปรินิพพายี (ผู้จะปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้ความเพียรมากนัก).
๖. ถ้าไม่เช่นนั้น เพราะสิ้นโอรัมภาคิยสัญโญชน์ ๕
ย่อมเป็นสสังขารปรินิพพายี (ผู้จะปรินิพพานโดยต้องใช้ความเพียรมาก).
๗. ถ้าไม่เช่นนั้น เพราะสิ้นโอรัมภาคิยสัญโญชน์ ๕
ย่อมเป็นอุทธังโสโตอกนิฏฐคามี (ผู้มีกระแสในเบื้องบนไปสู่อกนิฏฐภพ คือพรหมชั้นสูงสุด).
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแล้ว
กระทำให้มากแล้วอย่างนี้แล ผลอานิสงส์ ๗ ประการ
เหล่านี้ ย่อมหวังได้ ดังนี้.
ผลอานิสงส์อย่างใดอย่างหนึ่งในบรรดาผล ๒ ประการ เป็นสิ่งที่หวังได้ ; คือ
อรหัตตผลในปัจจุบัน หรือว่าถ้ายังมีอุปาทิเหลืออยู่ ก็จักเป็น อนาคามี.
มหาวาร. สํ. ๑๙/๓๙๖ - ๓๙๗/๑๓๑๑ -- ๑๓๑๓.
อานิสงส์ของการได้ยินได้ฟังพุทธวจนขณะตาย
สรุป ขณะตายถ้าได้ฟังหรือนึกถึงพระสูตรที่ท่องได้คล่องด้วยตนเอง (แม้จะมีความเจ็บปวดมากก็ต้องพยายามตั้งใจฟังพระสูตรให้ได้)ถ้ายังละสังโยชน์ห้าไม่ได้ก็จะละได้และเป็นอนาคามีคือเกิดเป็นชาติสุดท้าย และเมื่อตายแล้วผิวพรรณจะผุดผ่อง แต่ถ้าละสังโยชน์5ได้ก่อนอยู่แล้วและนึกถึงพระสูตรได้ขณะตาย ก็จะเข้าสู่นิพพาน:
http://faq.watnapp.com/th/other/86-daily-life/417-05-02-0038
ดูกร อานนท์ จิตของภิกษุในธรรมวินัยนี้ ยังไม่หลุดพ้นจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ๕ ในเวลาใกล้ตาย เธอได้เห็นตถาคต ตถาคตย่อมแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น อันงามในท่ามกลาง อันงามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ ทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิงแก่เธอ จิตของเธอย่อมหลุดพ้นจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ๕ เพราะได้ฟังธรรมเทศนานั้น ดูกรอานนท์ นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๑ ในการฟังธรรมโดยกาลอันควร ฯ
อีก ประการหนึ่ง จิตของภิกษุยังไม่หลุดพ้นจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ๕ ในเวลาใกล้ตาย เธอไม่ได้เห็นตถาคตเลย แต่ได้เห็นสาวกของพระตถาคต สาวกของพระตถาคต ย่อมแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง แก่เธอ จิตของเธอย่อมหลุดพ้นจากสังโยชน์ อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ๕ เพราะได้ฟังธรรมเทศนานั้น ดูกรอานนท์ นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๒ ในการฟังธรรมโดยกาลอันควร ฯ
อีกประการหนึ่ง จิตของภิกษุยังไม่หลุดพ้นจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ๕ ในเวลาใกล้ตาย เธอไม่ได้เห็นตถาคต และไม่ได้เห็นสาวกของตถาคตเลย แต่ย่อมตรึกตรองเพ่งด้วยใจ ซึ่งธรรมตามที่ได้ฟังมาได้เรียนมา เมื่อเธอตรึกตรองเพ่งด้วยใจ ซึ่งธรรมตามที่ได้ฟังมา ได้เรียนมาอยู่ จิตของเธอย่อมหลุดพ้นจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ๕ ดูกรอานนท์ นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๓ ในการใคร่ครวญเนื้อความแห่งธรรมโดยกาลอันควร ฯ
ดูกร อานนท์ จิตของมนุษย์ในธรรมวินัยนี้ ได้หลุดพ้นจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ๕ แต่จิตของเธอยังไม่น้อมไปในนิพพานอันเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิกิเลส อันหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ ในเวลาใกล้ตาย เธอย่อมได้เห็นพระตถาคต พระตถาคตย่อมแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น ... แก่ เธอ จิตของเธอย่อมน้อมไปในนิพพานอันเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิกิเลส อันหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ เพราะได้ฟังธรรมเทศนานั้น ดูกรอานนท์ นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๔ ในการฟังธรรมโดยกาลอันควร ฯ
อีกประการหนึ่ง จิตของภิกษุหลุดพ้นแล้วจากสังโยชน์ อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ๕ แต่จิตของเธอยังไม่น้อมไปในนิพพานอันเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิกิเลส อันหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ ในเวลาใกล้ตาย เธอย่อมไม่ได้เห็นพระตถาคต แต่เธอย่อมได้เห็นสาวกของพระตถาคต สาวกของพระตถาคตย่อมแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น ... แก่เธอ จิตของเธอย่อมน้อมไปในนิพพาน เป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิกิเลส อันหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ เพราะได้ฟังธรรมเทศนานั้น ดูกรอานนท์ นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๕ ในการฟังธรรมโดยกาลอันควร ฯ
อีกประการหนึ่ง จิตของภิกษุหลุดพ้นแล้วจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ๕ แต่จิตของเธอยังไม่น้อมไปในนิพพาน อันเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิกิเลส อันหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ ในเวลาใกล้ตาย เธอย่อมไม่ได้เห็นพระตถาคต และย่อมไม่ได้เห็นสาวกของพระตถาคตเลย แต่เธอย่อมตรึกตรองเพ่งด้วยใจซึ่งธรรมตามที่ได้ฟังมาได้เรียนมา เมื่อเธอตรึกตรองเพ่งด้วยใจซึ่งธรรมตามที่ได้ฟังมาได้เรียนมาอยู่ จิตของเธอย่อมน้อมไปในนิพพานอันเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิกิเลส อันหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ ดูกรอานนท์ นี้เป็นอานิสงส์ข้อ ๖ ในการใคร่ครวญเนื้อความแห่งธรรมโดยกาลอันควร ดูกรอานนท์ อานิสงส์ในการฟังธรรม ในการใคร่ครวญเนื้อความโดยกาลอันควร ๖ ประการนี้แล ฯ
(ภาษาไทย) ปญฺจก. อํ. ๒๒/๓๔๓/๓๒๗ : คลิกดูพระสูตร
วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2558
อายุสัตว์นรกแต่ละขุม
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อาจอยู่ภิกษุ แล้วได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุ เปรียบเหมือน หนึ่งเกวียนเมล็ดงาของชนชาวโกศลมีอัตรา ๒๐ ขารี (1 เกวียน) เมื่อล่วงไปแสนปี บุรุษนำ เอาเมล็ดงาเมล็ดหนึ่งออกจากเกวียนนั้น
ดูกรภิกษุ เมล็ดงาหนึ่งเกวียนของชาวโกศลซึ่งมีอัตรา ๒๐ ขารีนั้น พึงถึงความสิ้นไปหมดไปโดยทำนองนี้ เร็วกว่านั่นยังไม่ถึงหนึ่งอัพพุทะในนรกเลย
ภิกษุทั้งหลาย !
๒๐ อัพพุทนรก เป็น ๑ นิรัพพุทนรก
๒๐ นิรัพพุทนรก เป็น ๑ อัพพนรก
๒๐ อัพพนรก เป็น ๑ อหหนรก
๒๐ อหหนรก เป็น ๑ อฏฏนรก
๒๐ อฏฏนรก เป็น ๑ กุมุทนรก
๒๐ กุมุทนรก เป็น ๑ โสคันธิกนรก
๒๐ โสคันธิกนรก เป็น ๑ อุปลกนรก
๒๐ อุปลกนรก เป็น ๑ ปุณฑรีกนรก
๒๐ ปุณฑรีกนรก เป็น ๑ ปทุมนรก
อย่างนี้ ก็โกกาลิกภิกษุอุบัติในปทุมนรก เพราะจิตคิดอาฆาตใน สารีบุตรและโมคคัลลานะ.
หนังสือภพภูมิ หน้า ๘๙
(ไทย) ทสก.อํ. ๒๔/๑๔๗/๘๙
(บาลี) ทสก.อํ. ๒๔/๑๘๑/๘๙