หัวข้อสารนิพนธ์เป็นการประยุกต์ใช้องค์ความรู้ที่มีอยู่เพื่อให้เกิดเป็นแง่มุมแห่งความใหม่ หรือถึงขั้นนวัตกรรมหรือความสร้างสรรค์ (Novelty หรือ Creativity) เพื่อแสดงความสามารถในการวิเคราะห์และสังเคราะห์ในระดับหนึ่ง นวัตกรรม อาจอยู่ในรูปแบบของ Output product ซึ่งเป็นชิ้นงานที่ไม่เคยมีมาก่อน หรืออยู่ในรูปแบบของ Process ซึ่งเป็นกระบวนการที่มีแง่มุมใหม่ไม่เหมือนกระบวนการอื่นๆ ที่มีอยู่ก่อน
แบบไหนจึงเรียกว่านวัตกรรมหรือความสร้างสรรค์ คำตอบคือ 1) ต้องมีการแก้ปัญหาที่ระบบที่มีอยู่ไม่สามารถเข้าไปแก้ปัญหาดังกล่าวได้ทันที เช่น พัฒนาระบบลงทะเบียนใหม่สำหรับมหาลัย ก ถือว่าเป็นใหม่ เพราะระบบทะเบียนของมหาลัยอื่นไม่สามารถนำมาใช้กับมหาลัย ก ได้ทันทีเพราะกฎระเบียบต่างกัน แต่ถ้าจะให้ถึงระดับเป็นนวัตกรรม ต้องเป็นระบบทะเบียนที่ไม่สามารถเกิดจากการนำระบบทะเบียนของมหาลัยอื่นมาดัดแปลงเล็กน้อยก็ใช้ได้ แต่ต้องมีการแก้ปัญหาด้วยวิธีใหม่ๆ ที่ดีกว่าเดิมอย่างมีนัยสำคัญ หรือ 2) ต้องมีการเปิดเผยสาเหตุของปัญหาที่ไม่เคยถูกเปิดเผยมาก่อน ในกรณีทำสารนิพนธ์เชิงสำรวจ
หัวข้อสารนิพนธ์อาจเป็นความคิดริิเริ่ม (Initiation) ก็พอยอมรับได้ เช่น ริเริ่มทำ interactive Magazine ให้แก่การบินไทย ก็มีประโยชน์หรือ impact มาก และถือว่ามีความใหม่เพราะ interactive magazine ที่มีอยู่ไม่สามารถนำมาแก้ปัญหาให้การบินไทยได้ทันที
ประโยชน์ประการหนึ่งของการคิดหัวข้อสารนิพนธ์ที่ใหม่เป็นนวัตกรรมหรือมีความริเริ่มจะไม่มีประเด็นเรื่องการคัดลอกทรัพย์สินทางปัญญาของผู้อื่น
วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556
การศึกษาเฉพาะกรณี (Case study)
แบบ 1 ทำกรณีศึกษาในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของการวิจัยเรื่องอื่น ใช้กรณีศึกษาเพื่อแสดงหรือสนับสนุนประเด็นหลัก เช่น คิดกระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์ขึ้น เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าใช้ได้จริงหรือไม่จึงต้องสร้างกรณีศึกษาเพื่อลองนำกระบวนการดังกล่าวไปทดลองใช้งาน
แบบ 2 ทำกรณีศึกษาในฐานะเป็นการวิจัยเอกเทศเรื่องหนึ่ง อยากรู้แบบเจาะลึกในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่น การศึกษาอิทธิพลของสมารทโฟนกับประสิทธิภาพในการทำงาน: กรณีศึกษบริษัท xyz
แบบ 2 ทำกรณีศึกษาในฐานะเป็นการวิจัยเอกเทศเรื่องหนึ่ง อยากรู้แบบเจาะลึกในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่น การศึกษาอิทธิพลของสมารทโฟนกับประสิทธิภาพในการทำงาน: กรณีศึกษบริษัท xyz
วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2556
ปฏิสันถาร : ต้อนรับอย่างไรถึงจะถูกธรรม?
“เมื่อแขกมาถึงเรือนชาน ต้องต้อนรับขับสู่” คำนี้เป็นเครื่องเตือนใจให้คนไทยได้ปฏิบัติต่อผู้มาเยือนได้เป็นอย่างดี ดูเหมือนว่า การปฏิสันถารจะเป็นวัฒนธรรมที่เป็นรากเหง้าที่หล่อหลอมคนไทยให้เป็นคนที่โอบอ้อมอารี มีน้ำใจ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ดียิ่งขึ้น ขอสรุปเรื่องนี้ไว้โดยสังเขปดังต่อไปนี้
ปฏิสันถารในพระพุทธศาสนา หมายถึง การต้อนรับ การรับรอง การทักทายปราศรัย มี ๒ ประการ คือ
๑. อามิสปฏิสันถาร หมายถึง การต้อนรับหรือรับรองบุคคลที่มาเยี่ยมเยือนด้วยสิ่งของ เช่น หาข้าว หาน้ำ ขนม ผลไม้ เป็นต้นมารับรองตามสมควรแก่อัตภาพ
๒. ธัมมปฏิสันถาร หมายถึง หมาย การปราศรัยหรือการรับรองบุคคลที่มาหาสู่โดยธรรม เช่น การพูดจา ชักชวนให้ขึ้นบ้านด้วยไมตรีจิต ใบหน้าที่ยิ้มแย้ม และคำพูดที่อ่อนหวาน นุ่มนวล ตลอดจนการให้ข้อคิดเห็น แนะนำที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต
ไม่คบคนพาล
คนพาลชอบชักชวนไปในทางเสื่อม คือคนที่เมื่อถูกชักจูงให้ห่างไกลจากความเสื่อมแล้วมักโกรธ
การไม่คบคนพาลคือ
ไม่ให้ ความสนิทสนมแก่คนพาล
การไม่คบคนพาลคือ
ไม่ให้ ความสนิทสนมแก่คนพาล
ไม่รับ เป็นเพื่อน
ไม่ร่วม กิจกรรมใดๆ กับคนพาล เพราะจะนำความเดือดร้อนมาสู่เราได้
วันจันทร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2556
ลักษณะคนในที่ทำงาน
- Taker คือพวกชอบให้เพื่อหวังว่าจะได้มากกว่าที่ให้
- Matcher คือพวกชอบให้โดยหวังว่าจะได้ผลตอบแทนเท่ากับที่ลงทุนไป
- Giver คือพวกชอบให้โดยไม่คาดหวังว่าต้องได้รับสิ่งใดตอบแทน
Disruptive behavior คือพวกมีพฤติกรรมขัดขวางหรือเป็นปรปักษ์ต่อการทำงานของผู้อื่นจนอาจทำให้ผู้อื่นไม่อยากมาทำงาน เช่น ชอบเบียดเบียนผู้อื่นทางวาจา ชอบเสียงดัง ชอบต่อว่าดูถูก ชอบข่มขู่ว่าจะฟ้องร้อง สาเหตุมาจากเพื่อเรียกร้องความสนใจ หรือเพื่อเรียกร้องเพื่อให้ตนได้รับความสำคัญที่เหมาะสมกับความสามารถที่รู้สึกว่าสูงส่งเกินผู้อื่นของตน คนพวกนี้มักเป็น Taker
วันจันทร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2556
สังฆทาน
เป็นการถวายทานแบบไม่เจาะจง คือให้เกิดประโยชน์แก่วัดทังวัด ผู้ให้จะเกิดใจที่กว้างใหญ่ และได้บุญมากก่าถวายทานแก่พระพุทธเจ้าเพราะเป็นการสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา
ต้องประกอบด้วยพระสงฆตั้งแต่สี่รูปขึ้นไป เพราะในวัดหนึ่งๆ ถ้ามีพระครบสี่รูปก็สามารถบวชให้พระใหม่ได้ ด้วยการถามความเห็นพระทั้งสี่นี้ว่าบุคคลนี้สมควรบวชได้หรือไม่ ถ้าไม่มีรูปใดคัดค้านก็ให้บวชได้
หรือพระรูปเดียวแต่ได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนของพระทั้งวัดแบบนี้ก็ได้
ต้องประกอบด้วยพระสงฆตั้งแต่สี่รูปขึ้นไป เพราะในวัดหนึ่งๆ ถ้ามีพระครบสี่รูปก็สามารถบวชให้พระใหม่ได้ ด้วยการถามความเห็นพระทั้งสี่นี้ว่าบุคคลนี้สมควรบวชได้หรือไม่ ถ้าไม่มีรูปใดคัดค้านก็ให้บวชได้
หรือพระรูปเดียวแต่ได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนของพระทั้งวัดแบบนี้ก็ได้
Horizontal and vertical scaling
To scale horizontally (or scale out) means to add more nodes to a system, such as adding a new computer to a distributed software application. An example might be scaling out from one Web server system to three. Scale out != Scale in